posttoday

คำต่อคำนาที"กี้ร์"หนีคุก

25 กันยายน 2554

“กี้ร์” เผยนาทีทิ้งม็อบแดงราชประสงค์ บอกต้องพรางตัวขึ้นมอร์ไซค์รับจ้าง เปลี่ยนรถยนต์ 6 คัน ก่อนล่องน้ำโขงจากหนองคายไปเขมร

“กี้ร์” เผยนาทีทิ้งม็อบแดงราชประสงค์ บอกต้องพรางตัวขึ้นมอร์ไซค์รับจ้าง เปลี่ยนรถยนต์ 6 คัน ก่อนล่องน้ำโขงจากหนองคายไปเขมร

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ยังหลบหนีคดีก่อการร้ายอยู่ในต่างประเทศ ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวที่เดินทางไปทำข่าวการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา โดยนายอริสมันต์ได้เปิดใจเล่านาทีเหตุการณ์การหลบหนีออกจากประเทศไทยอย่างละเอียด 

นายอริสมันต์กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ที่มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ พวกเราแกนนำได้ตัดสินใจยุติการชุมนุม เพราะเกรงว่าจะมีคนตายอีกเยอะ ที่ผ่านพวกเราไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ รุนแรงเกินไป สำหรับผมเองเมื่อมีการตัดสินใจอย่างนี้ ก็รู้ว่าเราคงไม่อยู่ในประเทศ ผมตัดสินใจไม่ยอมอยู่แล้ว

คำต่อคำนาที"กี้ร์"หนีคุก นายอริสมันต์พบปะกับกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

วันนั้นผมเดินออกจากที่ชุมนุมออกมาทางประตูน้ำ ซึ่งตรงนั้นทหารเยอะมาก แต่เชื่อมั้ยว่ากับผมนั้นมันมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ผมสามารถหลบหนีออกจากโรงแรมเอสซี ปาร์ค และหลังจากนั้นก็มีคนนำพระมาให้ผมในสร้องคอหนึ่งเส้นมี 3 องค์ และผมไม่ชอบเป็นแขวนพระ ถ้าสังเกตแกนนำหลายคนแขวนพระกันเต็มคอหมดเลย แต่ผมไม่ชอบแขวนพระ 2 วันผ่านมา มีมาเข้าฝันเลย ตกใจสะดุ้งตื่นเลย รีบนำพระมาแขวนคอ เพราะในฝันท่านมาบอกว่า “ทำไมมึงไม่แขวนกู” ซึ่งในจำนวนพระ 3 องค์นี้ผมรู้จักแค่คนเดียวคือหลวงพ่อฉุย เพราะมันติดตาในฝัน จากนั้นก็รอดแคล้วคลาดมาโดยตลอด ผมก็เล่าเรื่องหลวงพ่อมาเข้าฝันให้พี่แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล)ฟัง แต่พี่แดงแกไม่เชื่อ

มาถึงตอนที่ผมจะเดินออกจากม็อบ ผมไปนั่งอยู่ที่หน้าศาลพระหรหมณ์อยู่นานมาก กระทั่งคนขายเสื้อผ้าแถวนั้น มาบอว่าพี่ยอมแพ้ เชื่อผมเถอะ ยังไงพี่ก็ไม่รอด ผมก็กอดคอคนขายเสื้อผ้าแล้วบอกว่า “วันนี้ถ้าชีวิตมันตาย มันก็ต้องตาย น้องก็ได้รู้ว่าพี่ต้องตายวันนี้” จากนั้นผมก็ถอดรองเท้า มันก็เอารองเท้ามาให้ใส่ เป็นรองแตะหูคีบ ถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นเสื้อโทรมๆ แล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นทหารก็วิ่งสวนมา แต่ก็ผ่านผมไป แล้วผมก็ซื้อฮอล์ล กับบุหรี่ 10 มวน ก็สูบบุหรี่เดินไป ก็สวนกับทหารเป็นระยะๆ 

“พอเลี้ยวขวาตรงห้างบิ๊กซี โอโฮ..แม่ง คุณรู้ไหมตรงนั้น..หฤโหดขนาดไหน รถฮีมวีจอดเป็น 10 คัน กระสุนปืนเป็นแสนนัดว่าอย่างนั้นดีกว่า คงกะว่าถล่มตายหมดน่ะ แล้วเสียงปืนมันดัง เปรี๊ยะๆๆ ตลอด เสียงร้องระงม ก็เดินไปจะเจอสะพานข้ามคลองแสนแสบ เป็นตึกสองข้าง ด้านบนมีสไนเปอร์เป็นร้อย ลูกน้องก็ตะโกนบอกว่าทหารยิงประชาชน พวกทหารมันก็หลบไป เพราะตอนนั้นมันเล็งแล้ว ดูว่าใครเป็นใคร ผมก็รีบวิ่งมาอยู่ใต้สะพาน แล้วรีบวิ่งไปชิดมุมตึกที่ทหารอยู่แบบแนบชิดเลย เพื่อไม่ให้มองเห็น แล้วก็เดินออกไปที่ประตูน้ำคอมเพล็ก”

จากนั้น ผมก็จะเดินสวนออกไปทางมักกะสัน โอ้..โห้.. ทหารมหาศาล เสียงเปรี๊ยะ แป๊ะ ตลอด เชื่อมั้ยคนขายเสื้อที่ออกมาด้วยขาสั่นเลย ร้องไห้ แล้วบอกว่า “ไม่ไหวแล้วๆ ผมไปไม่ไหวแล้ว ผมขออยู่ตรงนี้ หันมาบอกผมพี่ยอมเถอะ บ้านเพื่อนผมอยู่ตรงนี้ พี่ไปแอบได้” พี่คิดว่ามันไม่ไหวจริงๆ เพราะร้องไห้ตลอด แต่มันก็ฮึดออกมาบอกว่า “ขอไปส่งวีรบุรุษให้ถึงจุดหมายปลายทาง” มันพูดกับผมอย่างนี้ ในใจเราคิดไอ้นี่สุดยอด ไม่มีส่วนได้เสีย แต่มันไปกับเราขนาดนี้

ขณะที่จะเดินออกจากประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ก็มีเสียงปืนวิ่งไปวิ่งมา ดังตลอดเยอะมาก มันมีเสาต้นใหญ่ๆอยุ่ต้นหนึ่ง ผมก็ไปหลบตรงเสา เพราะเสียงปืนมันดัง เราก็ล้มลงนอน เพราะจะดูว่าทหารข้างบนเยอะแค่ไหน ทุกหน้าต่างมีปลายลำกล้องปืนโผล่ออกมาหมด เราถึงรู้ว่าโหดเหี้ยมมาก ทีนี้พอล้มลงนอนมันก็คิดว่าเราถูกยิง มวลชนก็ร้องดังขึ้นไปอีก ทหารก็วิ่งมา มวลชนก็วิ่งหนี ตอนนี้คิดเราจะทำยังไง โดนแน่ ตัดสินใจกระโดดลงตรงนั้นจะมีศาลพระภูมิอยู่ ผมก็ไปปัดกวาดเช็ดถูศาล แล้วมือผมมันเลอะก็ใช้มือป้ายที่หน้า หน้าผมมันก็ดำๆ เชื่อมั้ยว่าก่อนที่เดินออกมามีหลวงพ่อโทรมาหาผม ไม่รู้ได้เบอร์มาได้ยังไง โทรบอกว่า “ให้ท่องคาถาพลางตัว” ผมบอกหลวงพ่อไม่มีเวลาแล้วหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อท่องเลย ผมจะตั้งสมาธิ เสร็จแล้วผมก็ยกมือไหว้

มาถึงตรงนี้มีมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่ เขาก็จอดรอคนที่ออกมาใครเรียกเขาก็ไปหมด แต่มอร์เตอร์ไซค์รับจ้างไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ผมก็นั่งซ้อนท้ายออกไป มาเจอด่านที่มักกะสันเป็นด่านใหญ่ ด่านนี้ผ่านไปได้ ผมก็คิดว่าฟลุ๊ค คิดว่าคงจะไปได้ไกลขนาดไปน เพราะด่านใหญ่มาก ตอนนั้นคิดว่าคงไปได้ไม่เกินรัชดา มาเจอด่านที่สองแถวพลาซ่า มักกะสัน ตรงนี้เหมือนเข้าซองม้าแข่งเลย เข้าคิวตรวจเลย

ทหารตะโกนบอก “ไม่มีผู้โดยสารไปเร็วๆออกไป” แล้วกูนั่งอยู่ท้ายรถมอร์ไซค์รับจ้าง ซวยแล้วซิกู แต่ก็ผ่านมาได้นั่งรถมอร์ไซค์รับจ้างมาถึงซอยพหลโยธิน 24 จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์ ออกมาทางปทุมธานี สุพรรณฯ งานนี้เปลี่ยนรถยนต์เป็น 5-6 คัน แล้วก่อนจะขึ้นถนนมิตรภาพ หลวงพ่อโทรมาอีกบอกว่า “ถูกยิงตายแล้วไม่ใช่รึ” ผมก็บอกว่ายังอยู่ๆ แล้วก็บอกว่าให้นึกถึงหลวงปู่นาค แล้วก็มาเจอด่านทหารใหญ่ที่ถนนมิตรภาพ ทหารบอกให้รถทุกคนเปิดกระจกทั้งหมด แล้วมันก็ชะโงกเข้ามาดูในรถเรา แต่ก็ผ่านมาได้อีก จากนั้นวิ่งเรื่อยมาถึงชายแดนที่จังหวัดหนองคาย แล้วก็ล่องเรือมาเรื่อยๆ ไหลมาตามน้ำมาแล้วก็มาขึ้นที่กัมพูชา