posttoday

เปิดข้อกล่าวหา"ยิ่งลักษณ์"ซุกหุ้น"ชินคอร์ป"

06 มิถุนายน 2554

เปิดคำกล่าวโทษ "ยิ่งลักษณ์" ที่เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินเสนอให้ "แก้วสรร อติโพธิ" อดีต คตส. รับรองและเตรียมส่งให้ดีเอสไอพิจารณาในวันที่ 21 มิ.ย.นี้  

เปิดคำกล่าวโทษ "ยิ่งลักษณ์" ที่เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินเสนอให้ "แก้วสรร อติโพธิ" อดีต คตส. รับรองและเตรียมส่งให้ดีเอสไอพิจารณาในวันที่ 21 มิ.ย.นี้  

สาระสำคัญจากคำกล่าวโทษน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ในกรณีให้การเท็จต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน เป็นผู้เสนอ และนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นผู้รับรอง โดยเตรียมส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการในวันที่ 21 มิ.ย.

******************************

ข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษา

ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯเรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553ได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติแล้วว่า

“ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี2544นั้นหุ้นบริษัทชินคอร์ปซึ่งรับสัญญาโทรคมนาคมกับรัฐกว่า 49% ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ภริยา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วยังคงถือไว้ซึ่งสัญญาสัมปทาน ส่วนคำคัดค้านของนางสาวยิ่งลักษณ์และพวกว่าหุ้นชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเพราะได้ซื้อมาจากพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลฟังว่าเป็นความเท็จิงเป็นการสมคบให้ใช้ชื่อถือแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย”

คำวินิจฉัยข้างต้นที่ว่าหุ้นชินคอร์ปยังเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ และภริยาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐนี้ถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันน.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกที่ล้วนเข้าไปเป็นตัวความในคดียึดทรัพย์นี้ด้วย ซึ่งในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้นหากบุคคลเหล่านี้ต้องคดีใดๆที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติการณ์ซุกหุ้นนี้อีก ศาลในคดีนั้นๆจะต้องถือข้อเท็จจริงมในคดีฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ทุกคดีไป

เปิดข้อกล่าวหา"ยิ่งลักษณ์"ซุกหุ้น"ชินคอร์ป"

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกจะไม่มีสิทธิต่อสู้คดีปฎิเสธความต่อศาลว่าตนได้ซื้อหุ้นจากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้อีกเลย ดังตัวอย่างในคดีที่กรมสรรพากรได้ฟ้องเรียกภาษีเงินได้จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทานั้น ศาลในคดีภาษีดังกล่าวก็ได้ยกฟ้องกรมสรรพากร โดยวินิจฉัยว่าเงินได้มิใช้ของจำเลยทั้งสองเพราะข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ไปแล้วว่าหุ้นชินคอร์ปเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยทั้งสองถูกใช้ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทนเท่านั้น เป็นต้น

ความผิดข้างเคียงที่สืบเนื่องจากคดียึดทรัพย์

เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติเด็ดขาดผูกพันน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกแล้วว่าซุกหุ้นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ได้สืบค้นข้อมูลต่ไปจนได้ข้อยุติว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกจะต้องมีความผิดอย่างแน่นอน ดังต่อไปนี้

- ความผิดตามพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์มาตรา 298 และ 302 ฐานแจ้งธุรกรรมขายและซื้อหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จหลายกรรมหลายวาระด้วยกัน

- ความผิดฐานให้ข้อมูลการถือครองหุ้นอันเป็นเท็จต่อคตส.ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 133  

- ความผิดฐานเบิกความในข้อมูลการถือครองหุ้นอันเป็นเท็จต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177

เฉพาะในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้นมีพฤติการณ์กระทำผิดในฐานความผิดทั้งสาม ดังนี้

1.ได้ร่วมสมคบกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 6 ก.ย.2543ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขายหุ้นชินคอร์ป 2 ล้านหุ้นให้น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว

2.ได้ร่วมสมคบกับพ.ต.ท.ทักษิณและพวกมีหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 23 ม.ค.2549ว่าตนได้ขายหุ้นชินคอร์ป 20 ล้านหุ้นให้แก่กลุ่มทุนเทมาเส็คแล้ว

3.ได้ให้ปากคำอันเป็นเท็จต่ออนุกรรมการไต่สวนของคตส.เมื่อ 24 เม.ย.2550 ยืนยันว่าตนได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจากพ.ต.ท.ทักษิณ และนำเงินปันผลที่ได้มา มาผ่อนชำระค่าหุ้นจนหมดแล้ว โดยคตส.ที่เป็นผู้ไต่สวนปากคำน.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ และนายสัก กอแสงเรือง

4.ได้เบิกความเป็นเท็จต่อศาลฎีกาฯเมื่อวันที่ 6 ส.ค.2552 ยืนยันว่าตนได้ซื้อหุ้นจากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เงินปันผลมา 97 ล้านบาท ขำระค่าหุ้นให้พี่ชาย 20 ล้านบาท ที่เหลือตนนำมาใช้ปรับปรุงบ้านซื้อทองคำเครื่องเพชร และเหตุที่ส่งเงินปันผลคืนให้เกินไป 2.5 ล้านบนาทนั้นก็เป็นการชำระหนี้ค่าฝากซ้อนาฬิกา ทั้งหมดนี้ศาลเห็นว่าเลื่อนลอยเป็นเท็จไม่มีหลักฐานสนับสนุนแม้แต่น้อยเลย ดังคำพิพากษากลางหน้า 99

คำกล่าวโทษ

โดยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าได้อ้างอิงมาทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนี้

1.กล่าวโทษน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่ากระทำความผิดสำเร็จลุล่วงแล้วเป็นสี่กระทงด้วยกันตามข้อ 1-4 ข้างต้น โดยสองกระทงแรกเป็นความผิดทางเศรษฐกิจที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง อีกสองกระทงเป็นความผิดข้างเคียงที่ขอให้รับเป็นคดีพิเศษได้ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับสองคดีแรก และผู้ถูกกล่าวโทษเป็นผู้มีอิทธิพล

คดีทั้งสี่นี้หากได้ความว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ข้อมูลตรงตามที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ท่านต้องสั่งสำนวนส่งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีทันที เพราะประเด็นที่ว่าเป็นข้อมูลเท็จหรือไม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีสิทธิต่อสู้ใดๆเลยต้องฟังเป็นที่ยุติเด็ดขาดตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปแล้ว

2.ขอให้ท่านสอบสวนเพิ่มเติมแล้วขยายผลต่อไปยังพวกพ้องของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามข้อหาต่างๆนั้นอีกส่วนหนึ่งด้วย

3.ขอให้ท่านสอบสวนเพิ่มเติม ขยายผลไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยว่า เหตุใกจึงไม่มีการกล่าวโทษน.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกเลยทั้งๆที่ศาลฎีกาได้ตัดสินคดีเป็นยุติเด็ดขาดมาเนิ่นนานแล้ว บุคคลที่ต้องให้คำอธิบายนี้ก็ได้แก่ คณะกรรมการป.ป.ช.ในฐานะแทนคตส., อัยการสูงสุดและอัยการกองคดีพิเศษ,เลขานุการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์, รมว.คลังในฐานผู้กำกับดูแลกลต.

คำกล่าวโทษนี้นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นผู้ยืนยันรับรองในความถูกต้องของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และทุกคนได้มอบหมายให้นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจยื่นกล่าวโทษนี้ต่อท่าน