posttoday

"บิ๊กตู่"เปิดใจไม่ใช่คนดื้อรั้นยินดีรับฟังพร้อมปรับปรุงแก้ไข

21 พฤศจิกายน 2564

นายกรัฐมนตรีขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษ“จับมือ รวมใจ พาไทยรอด”แจงวางยุทธศาสตร์ไม่ได้ต้องการถือครองอำนาจแค่เป็นแนวทาง ย้ำยินดีรับฟังพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขไม่ใช่คนดื้อ

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จับมือ รวมใจ พาไทยรอด” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 โดยมี พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาชิกหอการค้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งของ ปาฐกถาพิเศษ ว่า เราเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่อาจขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตน ในฐานะ รมว.กลาโหมและฝ่ายความมั่นคงเราต้องคำนึงถึงความมั่นคงของโลกไปด้วย ไม่ใช่แค่ภายในประเทศอย่างเดียวเรายังมีภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีประเทศรอบบ้านที่มีพื้นติดต่อมีความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศต่างๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และยังมีประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ สิ่งเรานี้ต้องนำมาเป็นข้อพิจารณา ในนามของรัฐบาลต้องช่วยกันคิดว่าทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นทั้งในภูมิภาคและโลก ไม่เช่นนั้นเราจะวิเคราะห์อะไรไม่ได้เลย จะมองเห็นแต่ปัญหา จะแก้ปัญหาของเราอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่นไม่ได้

"บิ๊กตู่"เปิดใจไม่ใช่คนดื้อรั้นยินดีรับฟังพร้อมปรับปรุงแก้ไข

“ทุกอย่างมีปัญหาทั้งสิ้นเราต้องใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ถูกหรือผิด มันไปไม่ได้ในโลกใบนี้ ข้อสำคัญจะต้องเป็นไปตามกฎหมายกฎระเบียบของเราให้ถูกต้องเราต้องระวังอย่างที่สุดและทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดความเดือดร้อน ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องโดยเฉพาะสื่อต้องสร้างความเข้าใจ”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างมากมายมีพันธสัญญาเกิดขึ้นกับกลุ่มต่างๆ ประเทศต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา จึงไม่สามารถที่จะไปคัดค้านได้เนื่องจากเป็นมติของส่วนใหญ่ จึงได้เสนอข้อ 18 ต่างๆ ไป ที่สามารถทำได้ เช่น CPTTP ยอมรับว่ามีข้อเสีย แต่ก็มีข้อดีด้วยเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรให้สามารถเจรจากับเขาได้ก่อนเท่านั้นเอง แต่ยอมรับว่ายังไม่ใช่เวลานี้ สามารถทำข้อสงวนได้ทั้งหมด อันไหนไม่ได้ ยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับหรือไม่รับ ต้องกลับมาตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แต่หากไม่ร่วมเจรจาในวันนี้ วันข้างหน้าเมื่อสมาชิกอื่นๆ เข้ามาอีกจำนวนมาก เราจะไม่มีโอกาสเสนอข้อสงวนอีกเลย ขอให้จำคำพูดของตนตรงนี้ไว้ ทุกอย่างมีปัญหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะต้องใช้สติปัญญาให้รอบคอบในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ได้ไม่ได้ ถูกผิดมันไปไม่ได้ ในโลกปัจจุบันนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบของเรา ให้ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งต้องระมัดระวังอย่างที่สุดและระมัดระวังอย่างไรเพื่อจะไม่ให้เดือดร้อน ขอให้แปลเจตนารมณ์ของตนให้ถูกต้อง โดยเฉพาะสื่อหากวันหน้าเกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น อย่างวันนี้มีข้อตกลงพันธสัญญาอาเซปซึ่งผ่านมาเกือบ 2 ปียังเริ่มใช้กันไม่ครบ เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น กว่าจะตกลงกว่าจะเจรจากันได้ แต่จะได้ไม่ตกหล่นและมีสิทธิ์มีอะไรมากพอสมควร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีหลายด้าน เรามีทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และเรามีปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือความยากจน ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งหมดได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงประเด็นและจัดสรรงบประมาณในโครงการต่างให้ตรงเป้าหมาย แต่ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ จึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันดูยุทธศาสตร์ชาติว่าทำงานกันโดยอย่างไร

“ยืนยันไม่ได้เป็นเรื่องการยึดครองอำนาจหรืออะไรทั้งสิ้น ในเรื่อง 20 ปีโดยผมยังอยู่มันไม่ใช่ ทุกคนทุกวันตื่นขึ้นมารู้หรือไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร วันนี้จะอยู่หรือจะตายไม่มีใครรู้ แต่ที่เรารู้คือเราจะวางอนาคตข้างหน้าอย่างไร เป็นสิ่งที่ผมคิดใน 6 ยุทธศาสตร์ชาติ จึงมีแต่หัวข้อกำหนด ผมถามว่ายังมีอีกกี่เรื่องที่ต้องทำ มีอีกกี่แผนแม่บท และเรายังต้องมีการปฏิรูปด้วย อย่าลืมว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน มีกฎระเบียบตรงไหนที่ต้องดำเนินการ ถ้าต่างคนต่างทำก็ยังเป็นอยู่แบบเดิม ผมไม่ต้องการให้การทำงานเป็นแบบไซโล แต่อยากให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานคุยกัน ผมไม่ต้องการไปก้าวล่วง ยกเว้นการบูรณาการงานยังไม่เรียบร้อย เช่น เรื่องการบินเข้าประเทศ ผมก็ต้องตรวจสอบทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องแผนงานทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงท่องเที่ยว แต่ยืนยันผมไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี เราต้องให้เกียรติในฐานะเป็นเพื่อนร่วมงาน ด้วยความหวังดี เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร แม้จะเป็นการปกครองแบบพิเศษก็ต้องคุยกัน แต่ก็ต้องคุยกับท่านในทางสร้างสรรค์ เป็นพี่เป็นน้องกัน การไปเยี่ยมเยียนก็เป็นการทำงานไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองอะไรทั้งสิ้น สังคมไทยแตกต่างจากต่างประเทศ การขาดการติดต่อสื่อสารจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเวลา 7 ปีที่ผ่านทุกอย่างอยู่ในศรีษะของตน บางอย่างไปได้เร็ว บางอย่างไปได้ช้า บางอย่างติดขัด แต่ถ้ามาช่วยคิดให้ตรงกันทุกอย่างจะไปได้หมด แต่ถ้าขัดกันไปขัดกันมา ตรงนั้นดี ตรงนั้นไม่ดี หรือต้องดีกว่านี้อีก ทั้งนี้ ถ้าเรามาช่วยกันทำให้ดีให้ครบเดินหน้าเป็นสเต็ปไปจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่างบประมาณเราก็มีแค่นี้ เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ โครงการที่รัฐบาลทำมาทั้งหมด อาทิ โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกกลุ่ม โดยเข้าถึงประชากร 40 ล้าน หรืออย่างน้อย 20 ล้านคน ทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด คือมีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อย มีเหตุมีผล มีความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดีภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม ขอร้องว่าอย่าให้ใครมาบิดเบือน เพราะความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด ตนเข้าใจดี แต่เราต้องพอประมาณไม่เช่นนั้นหนี้จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จะกลายเป็นหนี้นอกระบบ วันนี้เทคโนโลยีเจริญรวดเร็ว คนของเราจึงต้องมีหลักคิด มีหลักการ และกระบวนการ ไม่ใช่พอนับ 1 ก็กระโดดไป 10 เลย

“ผมไม่ได้ตำหนิใครหรือบอกว่าผมเก่งกว่าใคร แต่ถามว่าคนส่วนใหญ่รับได้หรือไม่ ถ้ารับได้ผมก็พร้อมทำ โดยทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ถ้าตามใจทุกคนทุกอย่าง ถึงเวลาที่เกิดอะไรผิดพลาดใครจะรับผิดชอบให้ผม แต่ผมพร้อมจะทำให้ดีที่สุด”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลพยามทำคือการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนจะต้องเข้าถึงถึงโอกาส อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันจะละเมิดซึ่งกันและกันไม่ได้ และความเป็นธรรมในการดูแลผู้มีรายได้น้อยเกษตรกร กลุ่มเปราะบางและอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนจะต้องจับมือไปด้วยกัน โดยเอาหลักการมาด้วยกัน และดูว่าใครจะทำตรงไหน ยึดโยง และดูว่าปัญหาอุปสรรคอยู่ตรงไหน ไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่ได้ กฎหมายกี่ร้อยกี่พันฉบับรัฐบาลแก้ไปแล้วเกิน 50% ที่ติดอยู่เพราะไม่ผ่านโดยเฉพาะการประชาพิจารณ์ แต่ถ้าไม่แก้ตรงนี้ก็ไปไม่ได้ เพราะความต้องการยังเหมือนเดิมคือ ตัวเองไม่อยากเปลี่ยนแปลงแต่อยากได้สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกฎหมายและกฎระเบียบ

“เรื่องของการลงทุนถ้าผมเป็นเจ้าของธนาคารผมจะให้ทั้งหมด ในเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแต่มันไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเอกชนที่มีผู้ถือหุ้น จะไปสั่งให้ลดนั่นลดนี่ทำไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ว่าทำไมนายกฯไม่สั่ง การจะจัดสรรอะไรต้องคิด ต้องปรึกษา ต้องมีคำตอบจากคณะทำงานว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าสั่งได้ผมสั่งให้ทั้งหมดไปแล้ว แต่ถ้าทำจริงก็จะหาว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก แค่ผมสั่งให้ทหารปลูกผักชี พูดไม่ครบถึงผักชนิดอื่นก็โดนแล้ว ทหารเขาปลูกไว้กินใครจะซื้อก็ซื้อ ใครไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องไปซื้อของแพง ทหารปลูกไว้แจกด้วยซ้ำ เขาปลูกอยู่แล้วในค่ายทหาร ไม่ได้ว่าจะไปแข่งกับใคร ถ้าใครลำบากก็มาซื้อในที่ทหาร เรื่องรถขนส่งก็เช่นกัน ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ ขาดแคลนสินค้าขนส่งก็มาขอทหาร ตนก็ต้องช่วย และตนไม่ได้เปิดการขนส่งแข่งกับใครอย่าไปฟังเขาบิดเบือน ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นมาไม่มีรถวิ่งเลยแล้วจะทำอย่างไร จะให้แบกกระสอบเดินกันหรือ พูดไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่บางทีก็ถูกบิดเบือนเยอะแยะไปหมด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยินดีรับฟังจากท่าน รับฟังจากพื้นที่ พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข ตนไม่ใช่คนดื้อหรอกครับ ตนจะพูดอะไรไป ก็คิดในใจอยู่ตลอดว่าจะทำได้แค่ไหน แต่ในใจคิดตลอด จะทำอะไร ทำได้แค่ไหน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และถ้าเขาจะให้เราแก้ ก็ต้องถามเขาว่าอยากให้แก้อะไร แก้อย่างไร ตรงไหน แล้วต้องอธิบายได้ว่าแก้แล้วจะเกิดตรงนี้ คุยกันแบบนี้จะได้เบาลงบ้าง หลานๆ มีอะไรจะถามไหม ลุงไม่ใช่คนใจร้าย ไม่ใช่คนเผด็จการ ทำทุกวัน แต่จะทำได้แค่ไหนเท่านั้นแหละ การพูดวันนี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระ นี่แหละคือสาระของผม งานเยอะ ปัญหาเยอะ และคิดเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ How to และทำให้สำเร็จ นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ จับมือเดินหน้าไปด้วยกัน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว