posttoday

นายกฯโชว์ผลงานรอบ2ปี

24 ธันวาคม 2553

นายกฯแถลงผลงานรอบ2ปีประกาศชูนโยบายฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนลดความเหลื่อมล่ำทางสังคม เดินหน้าตามแผนปรองดอง-ภาพ/ภัทรชัย ปรีชาพาณิชย์  

นายกฯแถลงผลงานรอบ2ปีประกาศชูนโยบายฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนลดความเหลื่อมล่ำทางสังคม เดินหน้าตามแผนปรองดอง-ภาพ/ภัทรชัย ปรีชาพาณิชย์  

เมื่อเวลา 17.15 น. นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานรัฐบาล ครบ 2 ปี  ว่า ในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งที่เป็นเงื่อนไขภายในและจากภายนอก โดยที่เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบศตวรรษ ความขัดแย้งในสังคมที่เกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมเป็นธรรม ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงานที่คาดว่าจะมีความรุนแรง ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินให้เดินหน้าก้าวไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่ง

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อแก้ไขสถานการณ์และปัญหาดังกล่าวให้ได้โดยเร็วและต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในแง่การปฏิบัติงานได้ตั้งกฎเหล็ก 9 ข้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั่วประเทศได้มั่นใจว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศด้วยความจริงใจและปฏิบัติงานจริงจัง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว และพัฒนาประเทศก้าวสู่สังคมที่เป็นสุขและมีความมั่นคงในชีวิต

ขณะที่การบริหารราชการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลมุ่งมั่นและอาสาเข้าแก้ไขปัญหาให้การพัฒนาเกิดความเท่าเทียม ลดความเลื่อมล้ำในสังคม ใช้หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ บรรเทา เศรษฐกิจฟื้นตัว และสังคมมีความสุข ส่งผลบวกในทุกมิติของการพัฒนาประเทศ โดยจะเห็นได้จาก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 7.9 ในปี 2553 จากที่เคยชะลอตัวลงอย่างรุนแรงติดลบที่ร้อยละ 2.33 ในช่วงเดียวกันก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ,อัตราของคนว่างงานลดลงเหลือเพียง 343,000 คน (0.9 %) ในปี 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนรัฐบาลเข้าบริหารประเทศในช่วงเดียวกันที่มีการคาดการณ์กันไว้ว่าอาจสูงถึง 2 ล้านคน ,มูลค่าการส่งออกเทียบ พฤศจิกายน 2551 กับ พฤศจิกายน 2553 เพิ่มสูงขึ้นถึง 17,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าที่เคยส่งออก 11,800 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ,จำนวนท่องเที่ยวเดือนเทียบปี 2551 กับ 2553 จะเห็นว่าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 15.2 ล้านคน ในปี 2553 เมื่อเทียบกับปี 2551 อยู่ที่เพียง 14.6 ล้านคนเท่านั้น และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวสูงกว่าเป้า,ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 1,002.90 จุด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศที่อยู่เพียง 449.96 จุด
ส่วนราคาสินค้าเกษตรนั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการได้ส่งผลถึงเกษตรกรรายย่อยที่ประกอบอาชีพหลักของประเทศได้อย่างทั่วถึงทุกภาค จะเห็นได้จาก ราคาข้าว เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13,645 บาท/ตัน จากเดิมอยู่ที่ 12,755 บาท/ตัน เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ,ราคาข้าวโพด เพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 6.51 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ,ราคามันสำปะหลัง เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.25 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 1.16 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ,ราคายาง เพิ่มสูงขึ้นเป็น117 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 34 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ,ปาล์มน้ำมัน เพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 3.31 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ

ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องการวางฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในระยะยาว แม้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่ครบวาระแต่ประเทศชาติต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความปรองดองของชาติอย่างบูรณาการอย่างไม่เลือกชนชั้น ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเพื่อประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา อาทิ ลดภาระค่าใช้จ่าย ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เป็นการช่วยลดค่าครองชีพและมีรายได้จับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนให้เป็นสุขมากขึ้น ,เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 5.7 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐต้องการสร้างชีวิตให้คนในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ,หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐที่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงคนไทยทั้งประเทศ ,ค่าตอบแทน อสม. 976,343 คน เป็นสวัสดิการที่รัฐต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการท้องถิ่นได้ปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ ,ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้มีรายได้อย่างเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แล้วเสร็จ กว่า 6 แสนราย เข้าโครงการแล้ว 1 ล้านราย เป็นมาตรการที่รัฐได้ให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใจถึงกิจกรรมที่สร้างรายได้ลดรายจ่ายอยู่อย่างพอเพียง (ใช้หมอหนี้แนะนำ) ,โฉนดชุมชน อนุมัติแล้ว 35 แปลง เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือให้ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยเฉพาะผู้ไร้ที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรรม ,ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย กว่า 3 ล้านกิโลเมตร เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องการช่วยเสริมโครงสร้างพื้นเศรษฐกิจและสังคมให้สามารถรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว ,แก้ปัญหามาบตาพุด ตั้งกรรมการแก้ปัญหาและติดตามผล ครม.เห็นชอบเก็บภาษีจาก ผู้ผลิตมลพิษ ภาครัฐตระหนักถึงภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาที่ผ่านมา และเร่งแก้ไขปัญหาโดยยึดการมีส่วนร่วมของประชาชนมาร่วมดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ,ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาทแล้วกว่า 6แสนครอบครัวเป็นเงิน กว่า 3 พันล้าน เป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่รัฐได้เร่งเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเท่านั้น แต่ภาครัฐยังมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก เช่น การให้ความช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย เป็นต้น

ขณะที่โครงการในอนาคตเพื่อสร้างความสุขให้สังคมไทย รัฐบาลก็เตรียมที่จะจัดตั้งธนาคารที่ดิน จัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมในสังคม ,เตรียมพัฒนาระบบราง 180,000 ล้านบาท, พัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูงร่วมกับจีน รถไฟฟ้า 5 สายรองรับ 3.3 ล้านคน เพื่อวางรากฐานรองรับการพัฒนาประเทศเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต ,ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงราคาถูก ถึงประชาชน 40 ล้านคน ในปี 2558 เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้และความเท่าเทียมให้กับสังคมไทยได้ก้าวทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ,เตรียมประกาศแผนปฏิรูปประเทศไทย เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน 1 มกราคม 2554 เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม การเมืองและกระบวนการยุติธรรม และการศึกษา เพื่อสร้างความปรองดองให้กับคนไทยทั้งชาติ

ขณะที่บทบาทในระหว่างประเทศต่างชาติก็ให้การยอมรับ ความสัมพันธ์เพื่อนบ้านก็คลี่คลายในทางที่ดี เราปกป้องประโยชน์ของชาติทุกเรื่อง ส่วนกรณีเขตแดนไทย - กัมพูชานั้น เราได้คัดค้านแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ถึง 2 ครั้ง และยืนยันไม่มีการสูญเสียดินแดนเป็นอันขาด ในทางกลับกันได้ย้ายชุมชนชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาทได้แล้วส่วนหนึ่ง ในส่วนของกองทัพก็ช่วยในการรักษาสันติภาพ และปราบปรามโจรสลัดในต่างแดน

ส่วนปัญหาด้านความมั่นคง 3 จว.ชายแดนใต้นั้น รัฐบาลได้ใช้แนวทางภายใต้พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งกำลังส่งผลชัดเจน โดยมีแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบให้ความร่วมมือกับภาครัฐมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้วในจ.สงขลา ทั้ง 4 อำเภอ และในปีใหม่นี้ก็จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 1 อำเภอ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสะท้อนคลี่คลายปัญหานี้

ด้านปัญหายาเสพติดได้มีการจับกุมรายใหญ่เพิ่มขึ้น ตนได้เข้มงวดมากขึ้น ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสจนทำให้มีการจับกุมได้มากขึ้น ส่วนการทุจริตคอรัปชั่น ยืนยันว่าต่างชาติมองว่าเราทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่น่าพอใจจะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ขอขอบคุณเอกชนที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ตนยืนยันไม่ละเลยให้มีการสอบสวน 2 ปีที่ผ่านมามีหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฏหมาย ขณะที่ความขัดแย้งในสังคม ถ้าจะให้คนคิดต่างคิดเหมือนกันคงยาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ ตนตั้งใจจะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจซึ่งกันและกันได้ คือต้องรักษาหลักการบ้านเมือง ให้ความเป้นธรรม ให้การเอาใจใส่สิทธิของกันและกัน เชื่อว่าทุกฝ่ายจะให้การสนับสนุน ถ้าทุกคนร่วมกันยุติความรุนแรงก็สามารถหลุดพ้นจากความขัดแย้งได้ เชื่อว่าปีหน้ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถให้คำตอบเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งได้ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

นายกรัฐมนตรี เผยก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ในการบริหารงานของรัฐบาลจะเริ่มต้นด้วยกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างและปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเพาะอย่างยิ่งจะมีมาตรการ 4 ด้าน คือ ระบบเศรษฐกิจ ระบบสวัสดิการ กระบวนการยุติธรรม และกระบวนการการศึกษา

"ผมขอยืนยันว่านับจากการขึ้นปีที่ 3 เป็นต้นไป ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือจัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ตาม แต่การเดินหน้าทำงานจะไม่หยุด สิ่งที่เราได้กำหนดเป็นแนวทางในการวางอนาคตเพื่อคนไทยคนไทย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ในส่วนของระบบเศรษฐกิจ จะเร่งรัดปฏิบัติการเพื่อคนไทยลดภาระค่าครองชีพ โดยหลังปีใหม่จะประกาศรายละเอียดทั้งหมด เรื่องค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม น้ำมัน อาหาร สินค้าอย่างเช่น ไข่ไก่ หมู ไก่ จะมีคำตอบ มีแผนที่ชัดเจน โดยใช้งบประมาณน้อยมากหรือไม่ใช้เลย แก้โครงสร้างในกลไกของเราให้คนยากจน ที่บ่นว่าของแพงมีคำตอบในระยะยาวมากขึ้น และความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สิน

ระบบสวัสดิการ การขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคม จะมีการแก้ไขกฎหมายให้ครอบคลุมคู่สมรส บุตรให้มากขึ้น หลังจากไปสำรวจพบว่ายังมีกลุ่มที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือ เช่นแม่และเด็กเล็ก  และที่จะต้องดำเนินการต่อ คือด้านโภชนาการ พัฒนาการสมอง ขยายศูนย์เด็กเล็กให้ครบทุกตำบล และกองทุนเงินออมแห่งชาติ เพื่อปูทางไปสู่การที่คนธรรมดาจะมีบำเน็จบำนาญ

กระบวนการยุติธรรม จะเดินหน้าให้ประชาชนจำนวนมากที่มีปัญหาการรับบริการทางกฎหมายมุ่งสร้างยุติธรรมชุมชน เข้าสู่ชุมชนต่างๆ  จะปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือ ตำรวจ ปกิรูปตำรวจให้ทำงานใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น มีการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ให้ความสำคัญกับกระบวนการสอบสวนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะผลักดันต่อไป

ด้านการศึกษา จะช่วยเด็กด้อยโอกาสอีกมาก เด็กชนบท เด็กพิการ เด็กที่ต้องออกจากโรงเรียน จะมีโครงการรพิเศษให้ครอบคลุมกลุ่มคนเหล่านี้ ขณะเดียวกันจะมีโครงการคืนครูให้นักเรียน ส่งเสริมครูสอนดี ให้รางวัล และจะพยายามปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

"ผมทำงานมา 2 ปี แม้หลายเรื่องที่เล่าให้ฟังจะผลักดันให้สำเร็จ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่พี่น้องยังไม่พอใจ ยกตัวอย่าง ยาเสพติดอบายมุข, ทุจริตคอรัปชั่นและ ความขัดแย้งในสังคม" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งทางสังคม โดยเชื่อว่าในปีหน้าจะมีความคืบหน้าในกระบวนที่เกี่ยวข้องกับคดีการละเมิดและการกระทำผิดทางกฎหมาย ยืนยันว่าจะพยายามลดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมไม่ว่าจะมีควาเมห็นที่แตกต่างกันอย่างไรก็จะต้องอยู่ร่วมกันได้ในสังคม

"ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ แต่จะให้ความเป็นธรรมดูแลเอาใจใส่ของแต่ละบุคคลที่พึงจะได้รับความเป็นธรรม...ของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจะให้คือเราจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนและคืนความสงบสุขให้คนไทย" นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

นายกฯโชว์ผลงานรอบ2ปี นายกฯโชว์เดี่ยว2ปีผลงานรัฐบาล