posttoday

เวทีคนรุ่นใหม่ซัดระบอบประยุทธ์ทำลายอนาคตเยาวชน

09 ตุลาคม 2564

“เวทีคนรุ่นใหม่ ทวงคืนอนาคต” ซัด “ระบอบประยุทธ์” ทำลายอนาคตเยาวชน คนรุ่นใหม่ แนะ ใช้ “เวทีสภา” เป็นทางออก “ประเทศ”

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564 ณ ห้องประชุม อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ภาคเช้า 11.00-12.30 น. - การอภิปราย "คนรุ่นใหม่ ทวงคืนอนาคต" โดย นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 , นายนันทพงษ์ ปานมาศ เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย , นายณัทพัช อักฮาด ญาติผู้เสียหายในเหตุการณ์พฤษภา 53 , ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี (หมู่อาร์ม) ผู้เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชั่นในกองทัพบก , นายธนเดช ศรีสงคราม (ม่อน อาชีวะ) แกนนำอาชีวะและสมาชิกไทยไม่ทน

นายเมธา กล่าวว่า น่าดีใจที่คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาเรียกร้องอนาคตของเขา 10 กว่าปีที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ถูกคอร์รัปชั่นอนาคต บ้านเมืองถอยหลังเข้าคลองจากการใช้อำนาจ เรามีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ ของพล.อ.ประยุทธ์และพวกส.ว.มาจากการแต่งตั้ง ทำให้ตลอด 7 ปี หลังนี้ ระบอบประยุทธ์ที่มีนายพล 3 คนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังอำนาจ ขโมยอนาคตของคนรุ่นใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะวิสัยทัศน์ความคิดและยุทธศาสตร์ที่ท่านบัญญัติขึ้นมา ไม่สอดรับกับคนหนุ่มสาวที่รู้เท่าทันสังคม ปัญหาและต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง

เลขา ครป. กล่าวว่า ถ้าไม่มี 7 ปีที่ถูกคอร์รัปชั่นอนาคต ตนคิดว่าสังคมไทยคงก้าวหน้ามากกว่านี้ เยาวชนคนหนุ่มสาวคงมีโอกาสทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจมากกว่านี้ เราคงไม่มีความขัดแย้งบานปลายไปสู่ความรุนแรง และการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจปัจจุบัน จนบ้านเมืองเกิดความแตกแยกและพล.อ.ประยุทธ์ก็เคยพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า ตนเองเข้ามาเพื่อต้องการแก้ไขความขัดแย้ง แต่

ปัจจุบันชัดเจนว่า เข้ามาสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชนเสียเอง สร้างความแตกแยกโดยใช้ทุกสถาบัน องค์กรและอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ ดังนั้นปรากฏการณ์คนหนุ่มสาวที่ออกมามากมายในเวลานี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญที่คำตอบของพลังทางสังคม ต้องฝากไปกับคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่จับกับเพื่อนสร้างสังคมที่และประชาธิปไตย ที่เบ่งบานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

นายเมธา กล่าวว่า ตราบใดที่พล.อ.ประยุทธ์และพวกยังไม่ลงจากอำนาจ และล่าสุดบอกว่าจะอยู่ต่ออีก 5 ปีท่านกำลังฉ้อฉลรัฐธรรมนูญและเจตจำนงทางการเมืองของท่าน พวกเราคิดว่าหมดเวลาการเป็นนายกของพล.อ.ประยุทธ์แล้ว เพราะท่านไม่สามารถที่จะทำผิด รัฐธรรมนูญที่ท่านสร้างขึ้นมาได้ เพราะในเดือนสิงหาคมปีหน้าก็จะครบ 8 ปีที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นในอนาคตการเมืองไทยไม่มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหมุดหมายที่สามารถที่จะเป็นบุคคลที่ เป็นตัวแทนของสังคมไทยได้เลย

“เราให้เวลาพล.อ.ประยุทธ์เพียงแค่วันที่ 14 ตุลาเท่านั้น คืออีก 5 วัน ดังนั้นในเวลาที่เหลืออยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ก่อนที่ท่านจะลาออกไปภายใน 5 วันนี้ ก็รีบทำตามข้อเสนอของประชาชนและปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง ยุตติการกันแกล้งคุกคาม คดีทางการเมืองทั้งหมด และรีบแก้ไขปัญหาข้อเสนอของเราในวันนี้ โดยเฉพาะรัฐสภาสามารถเป็นทางออกจากความขัดแย้งได้ โดยเปิดประชุมร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล พรรคการเมืองต่างๆโดยเชิญแกนนำนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชุมทางการเมืองร่วมกัน หาทางออกจากความขัดแย้งใช้เวทีของรัฐสภา เป็นการหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาก่อนที่จะเกิดความรุนแรงหรือสงคราม ความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต เช่นในอดีต” นายเมธา กล่าว เลขา ครป. กล่าวว่า ความผิดสำคัญของพล.อ.ประยุทธ์ คือเป็นศัตรูกับประชาชนเพราะขโมยอนาคตเยาวชนคนหนุ่มสาวไปแทบจะหมดแล้ว วันนี้ทุกคนจึงมาทวงคืนอนาคตของเขาผ่านระบบนิติรัฐ นิติธรรมและกฎหมายที่สร้างความเป็นธรรม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเหมือนในปัจจุบัน ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นของกลุ่มคนไม่กี่คนเรา ต้องการอนาคตทางเศรษฐกิจที่ลืมตาปาก ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่มีการผูกขาดเช่นในปัจจุบัน เราต้องการอนาคตทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพในการปฏิรูปโดยมีนักเรียนนักศึกษาเปิดโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆได้หลากหลายมากขึ้น

ไม่ปิดกั้นในการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ทำไมเราไม่ทำเหมือนเช่นในประเทศยุโรป เราเรียกร้องอนาคตทางสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมส่งเสริมทุกสาขาอาชีพให้ลืมตาปากได้อย่างเสมอภาคกัน แต่ความมั่นคงในยุคสมัยใหม่คือทุกคนต้องได้รับส่วนแบ่งในทรัพยากรไม่ใช่ความมั่นคงของกลุ่มคณาธิปไตย

ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี (หมู่อาร์ม) กล่าวว่า ตนได้เป็นผู้เปิดโปงการทุจริตในกองทัพ หน้าที่การงานยศที่เคยมีและสูญเสียไป เนื่องจากการเปิดโปงการทุจริตของกองทัพบก ทั้งนี้ตนคิดว่าจะอยู่ในหน้าที่ราชการจนถึงอายุ 60 ปี แต่เมื่อวานทราบข่าวว่าพลเอกประยุทธ์ บอกว่าจะอยู่อีก 5 ปีถ้าอย่างนั้นผมคงอยู่ไม่ถึงภายใน 5 ปีนี้ ผมคงต้องซื้อโลงศพรอตัวเองเพราะคงจะตายก่อน

ส.อ.ณรงค์ชัย กล่าวว่า สิ่งที่คนรุ่นใหม่เจอชัดเจนมาตั้งแต่ ในชั้นพนักงานสอบสวนเมื่อไปถึงอัยการแล้ว ตนอยากจะเสนอความคิดเห็นและร้องขอ ให้ช่วยพิจารณาก่อนที่จะส่งฟ้อง เพราะการส่งฟ้องเป็นการผลักภาระให้ผู้ชุมนุม ที่ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เพราะต้องมีค่าเดินทาง มีค่าประกันตัว แล้วเมื่อไหร่มันถึงจะจบ ทั้งนี้อัยการเป็นอันดับกลางๆก่อนที่จะไปถึงศาล เพราะผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมดถูกส่งฟ้อง ไม่มีคดีใดไม่ถูกส่งฟ้องเลย หรืออาจจะมีแต่น้อยมาก การมาชุมนุมกันไม่ว่าจะเป็นที่ใด ทุกคนก็กระทำการตามรัฐธรรมนูญ ถามว่าในการขึ้นปราศรัย ตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แค่หยิบใหม่ขึ้นมาพูดบนเวทีก็ผิดอย่างนั้นหรือ แค่เยาวชนคนรุ่นใหม่เห็นต่างทางการเมือง ก็ผิดแล้วอย่างนั้นหรือ ถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นใหม่ทั้งหมดจะต้องมาทวงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นคนของเราคืนมา ทวงอนาคตที่เราสมควรจะอยู่ได้ เหมือนกับประเทศอื่นบ้าง เพราะประเทศไทยกำลังพัฒนามา 36 กว่าปีแล้วก็ยังไม่พัฒนา หรือพัฒนาให้แย่ลงก็ไม่ทราบ ทั้งนี้ขอถามว่าการชุมนุมทำไมถึงไม่สงบ ก็เพราะรัฐบาลส่งตำรวจ ส่งรถฮีโน่ ส่งรถดับเพลิงมา จึงสร้างความขัดแย้งให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่สนองโยบายรัฐบาล

นายณัทพัช อักฮาด กล่าวว่า การศึกษาของไทยในปัจจุบัน หลังจากมีโควิดทำให้ต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งตรงนี้พบปัญหามากมีคนนำมาแลกเปลี่ยนกันในโซเชียลมีเดีย พบว่าร้อยละ 90 คือหลักสูตรการศึกษาไม่เอื้อประโยชน์กับเด็กในอนาคต ตนคุยกับเด็กมัธยมต้นและเด็กมัธยมปลาย สิ่งที่พูดน่าตกใจมากคือเรื่องของเพดาน หนี้สาธารณะในประเทศไทยและเพดานหนี้สาธารณะของโลกนี่คือเด็กอายุ 15 และ 17 และรู้นึกถึงโยบายหนี้ของสหรัฐ

“เด็กสมัยนี้หาความรู้ได้จากทั่วโลกแต่ประเทศนี้ไม่มี เรื่องพวกนี้อยู่เลยมันคือความสูญเปล่าทางการศึกษา อนาคตอันตรายมากคนที่กำหนดโยบายคือทำลายอนาคตของลูกหลานนานกว่าประเทศอื่น ทำไมไม่โทษตัวเองว่าบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด จึงทำให้เด็กเสียเวลาในชีวิต เขาควรให้เรียนตามวัยที่เหมาะสม เป็นการสูญเปล่าทางการศึกษา สิ่งพวกนี้ต้องทวงคืนมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องมีการเปิดกว้างในเรื่องการศึกษา เพราะภาวะปัจจุบันนี้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นทศวรรษของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลใส่ใจกับเรื่องของการศึกษา ที่ทัดเทียมกับสากล สอนในเรื่องของการใช้ชีวิต ขอให้เพิ่มเติมประเด็นกฎหมายใหม่ที่ล้าหลัง เพราะตอนนี้เราล้าหลังสุดในประเทศอาเซียนแทบจะทุกเรื่อง” นายณัทพัช กล่าว

นายธนเดช ศรีสงคราม (ม่อน อาชีวะ) กล่าวว่า คนเหล่านี้รวมกันหลายสถาบันออกมาเรียกร้องสิ่งที่เราควรจะได้ แต่กลับถูกตีกันมากมาย สำหรับตนรวมแล้ว 10 กว่าคดี นี่คือสิ่งตอกย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบโจทก์คนรุ่นใหม่ ในฐานะตนเป็นเด็กช่างทุกคนถามตนว่า ปัจจุบันนี้ทำไมเด็กช่างจับมือกัน เลิกตีกันได้เพราะในมุมมองในสายตาของสังคม ในอดีตเด็กช่างก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมมากมาย เราศิษย์เก่าและปัจจุบัน ถูกกระทำโดยตลอดจากภาครัฐ โดยที่รัฐไม่มองไม่ฟังเสียงของพวกเรา

“อยากเห็นนายกฯที่ขึ้นต้นนำหน้าชื่อด้วยนาย , นางสาวไม่ใช่ขึ้นต้นด้วย พลเอก , พลโททำไมนายกต้องมาจากโรงเรียนในร้อย จปร.อย่างนั้นหรือ ในอนาคตอาจอยากเห็นเด็กอาชีวะเป็นอนาคต ก็ได้คนรุ่นใหม่อนาคตเราไม่อยากเห็นนายกฯมาจากการยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจ ทั้งนี้ทหารควรเป็นรั้วของชาติ เราไม่อยากเห็นทหารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เราอยากเห็นประชาธิปไตยจริงๆ มาจากเสียงของประชาชน นายกฯมาจากประชาชนจริงๆไม่ใช่มาจากการสืบทอดอำนาจ หรือเขียนกดกติกาที่บิดเบี้ยว เอื้อเฟื้อพวกพ้อง เราไม่อยากเห็นพล.อ.ปรยุทธ์ มากำหนดจะตาชีวิตของเรา ตนถามว่าอีก 10 ปีท่านอยู่ถึงหรือไม่ ลองย้อนดูว่าเด็กกำลังเรียนกำลังโต ต้องทำตามพวกท่านหรือ อนาคตของเราๆเลือกเอง เรามีสิทธิ์ที่จะคิดจะบอกอนาคตของเรา คือความคิดที่บริสุทธ์อย่างที่คนร่นใหม่ออกมาเรียกร้อง ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน เราแค่พูดแค่บอกแต่กลับโดนดำเนินคดี” ในสังคมอาจจะมองว่าเด็กอาชีวะในแง่ลบ ลองดูซิว่าเด็กอาชีวะอยู่ทุกองค์กรของเมืองไทย ทุกส่วน คือกลไกและฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ทุกสายอาชีพทุกกระทรวงกรมก็มีเด็กสายอาชีวะทำงาน เด็กอาชีวะขาดคนเข้าใจ บางคนเป็นเด็กเก่งแต่ขาดโอกาส ถูกมองว่าเรารุนแรงทั้งนี้ ภาพของเราไม่ใช่ความรุนแรงเราเพียงแต่ออกมาบอกและถามในสิ่งที่เราอยากรู้และเราไม่เข้าใจ เช่น วัคซีนสิ่งที่คนไทยควรได้เราควรจะมีทางเลือก สิ่งที่เราอยากเห็นคือคุณภาพชีวิตของคนรากหญ้าอยู่ดีกินดี อยากให้โรงพยาบาลรัฐมีความทันสมัยทัดเทียมกับโรงพยาบาลเอกชน

“ทุกวันนี้การที่รัฐจะผลักดันอะไร ต้องหาบุคคลคนเก่งที่รู้ปัญหาอาชีวะ และเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆให้ทั่วถึง เด็กอาชีวะเก่งไม่น้อยกว่าเด็กอื่นเพียงแต่ขาดโอกาส ขอฝากผู้ใหญ่บ้านให้มองเห็นปัญหาของเด็กอาชีวะมากกว่านี้ และการที่เราออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นไปตามกฎหมาย ตามสิทธิ์เราไม่ได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคน ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือสร้างความเดือดร้อนให้สังคม แต่เราคนรุ่นใหม่ออกมาพูดความจริง แต่กลับถูกคดีมากมาย อย่างไรก็ตามดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ นายนันทพงษ์ ปานมาศ กล่าวว่า รู้สึกสุดหดหู่และเศร้าใจตลอดเกือบ 8 ปีที่ผ่านมาจากการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้หลายคนเรียกร้องความกินดีแต่ก็ต้องกลับอยู่ในเรือนจำ ไม่มีใครทำเพื่อส่วนตัว แต่กลับต้องอยู่ในคุกทั้งที่เรียกร้องเพื่อคนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่กลับโดนดำเนินคดีและศาลไม่ให้ประกันตัวในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ทั้งที่วันเดียวกัน จำเลยคดีจ้างวานฆ่า อดีตนักกีฬาทีมชาติ อัตราโทษสูงขั้นประหารชีวิต กลับได้ประกันตัวทุกชั้นศาล

นายนันทพงษ์ กล่าวว่า ใต้รัฐบาลประยุทธ์ ทั้งระบบบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติของไทยล้วนพังพินาศ ระบบเศรษฐกิจและสังคมล้มเหลว พลเอกประยุทธ์ สืบทอดอำนาจรัฐประหารมาได้ ด้วยการใช้อำนาจทุกอย่างจัดการกับผู้เห็นต่างหรือฝ่ายตรงข้าม ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ ให้อำนาจคนที่แต่งตั้งมาไม่กี่คน ที่สำคัญวุฒิสภา 250 ที่มีอยู่ในปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งของรัฐประหาร และมีอำนาจล้นฟ้า ยังมีหน้าออกมาสั่งสอนประชาชนทั้งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประชาชนเลย ส.ว.เหล่านี้คือส่วนเกินของระบบประชาธิปไตย ภาระของภาษีและเป็นมะเร็งร้ายของสังคมไทยนอกจากไม่ทำงานที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ยังคอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศก้าวหน้า

“วันนี้ประเทศไทยเศรษฐกิจพังพินาศ ข้าวยากมากแพงและระบบสังคมล้มเหลว ไม่มียุคสมัยไหนที่รัฐบาลเหิมเกริมลุแก่อำนาจเท่ารัฐบาลนี้ พรรคที่เห็นต่างก็ถูกยุบ จับประชาชนที่เห็นต่างเข้าคุก ทำให้การเมือง็พังพินาศไปด้วย คนชุมนุมเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมก็จับขังคุก รัฐบาลกลับทำตรงกันข้ามกับรัฐธรรมนูญที่เขียนระบุไว้ การชุมนุมทางการเมืองไม่มีใครสมควรตาย แต่วันนี้เห็นว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ใช้สองมาตรฐานในการช่วยเหลือประชาชน พล.อ.ประยุทธ์คุยกับวัวควายได้ แต่ไม่เคยเปิดเจรจา พูดคุยข้องเรียกร้องกับคนรุ่นใหม่แม้แต่ครั้งเดียว เป็นความใจแคบของรัฐบาลชุดนี้” กองทัพไม่ต้องการคนเก่ง แต่กองทัพไทยต้องการคนที่สั่งซ้ายหันขวาหัน คนที่มีความรู้น้อยเข้าไปเป็นบุคลากรอย่างนั้นหรือ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วน ต้องออกมาร่วมกันแสดงพลังว่า เราจะต้องไม่ทนระบอบประยุทธิ์ ในปีที่ 8 อีกต่อไป พล.อ.ประยุทธ์อยู่นานเท่าไหร่ เชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน ดังนั้นเราคนรุ่นใหม่ไม่สามารถฝากความหวังไว้กับ “3 ป.” ที่ไม่รู้ว่าจะมีอายุเหลืออีกกี่ปีได้เช่นกัน ดังนั้นวันนี้เราขอประกาศทวงคืนอนาคต ของเราคืนในทุกด้าน