posttoday

"ประยุทธ์"ชี้4ตุลาเป็นหมุดหมายสำคัญนำไปสู่การเปิดประเทศ

04 ตุลาคม 2564

นายกฯ เป็นปลื้ม โพสต์ 4 ต.ค.เป็นหมุดหมายสำคัญ ทั้งยอดติดเชื้อ-เสียชีวิตลดลง และเริ่มต้นฉีดไฟเซอร์ให้เด็ก ก่อนกลับเข้าสู่บรรยากาศการเรียน การสอนปกติ

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Prayut Chan-o-cha โดยมีข้อความดังนี้

วันนี้ (4 ต.ค.) เป็นอีกหนึ่งวันที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ในการต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อนำไปสู่การเปิดเมือง เปิดประเทศ นอกจากวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อจะลดต่ำลงกว่าหนึ่งหมื่นคน พร้อมกับยอดผู้เสียชีวิตต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นสัญญาณของสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว วันนี้ยังเป็นวันเริ่มต้นการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับลูกหลานของเรา คือ นักเรียนทั่วประเทศที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งในช่วงเช้า ผมได้ไปเปิดงาน Kick Off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีนเด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ณ โรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร

โดยกระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งว่า มีผู้ปกครองแจ้งความจำนงให้บุตรหลานฉีดวัคซีน เป็นจำนวน 3.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 ของนักเรียนที่อายุ 12 ปีขึ้นไป ประมาณ 5 ล้านคน โดยจะมีการจัดสรรวัคซีนให้กับทุกจังหวัด ได้ฉีดภายในเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาในการสิ้นสุดการฉีด ดังนั้นหากมีผู้แสดงความจำนงเพิ่มเติม ก็จะดำเนินการฉีดให้ได้

สำหรับกลุ่มนอกระบบการศึกษา รวมทั้งเด็กเรียนที่บ้าน หรือโฮมสคูล ก็สามารถติดต่อ/ลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลที่รักษาประจำ หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เช่นกัน ส่วนเด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้รับการฉีดก็จะไม่เป็นเงื่อนไขในการเข้ารับการศึกษาแต่อย่างใด

การฉีดวัคซีนสำหรับเด็ก จะใช้วัคซีนไฟเซอร์ ที่รัฐบาลสั่งซื้อและได้รับมาแล้ว 2 ล้านโดส และกำลังจะเข้ามาอีก 8 ล้านโดส ซึ่งเป็นวัคซีนที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขรับรองให้สามารถฉีดผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ และในต่างประเทศได้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มเด็กมาแล้วในหลายประเทศ ผลการศึกษาพบว่ามีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นการฉีด 2 เข็มเหมือนกับการฉีดผู้ใหญ่ และมีระบบติดตามอาการและความปลอดภัยเช่นเดียวกัน

การฉีดวัคซีนโควิดให้กับเด็กนักเรียนทั่วประเทศ จะทำให้เราสามารถเปิดสถานศึกษาได้ ให้เด็กนักเรียนได้กลับไปสู่บรรยากาศการเรียนตามปกติ แบบ New Normal ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของการเรียนรู้ตามวัย ที่ไม่ต้องจ้องแต่หน้าจอตลอดทั้งวัน โดยไม่ได้เจอเพื่อนและคุณครู และจะได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ในโรงเรียนที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างศักยภาพด้านต่างๆ และที่สำคัญคือ ช่วยปกป้องอนาคตของชาติจากโรคร้าย สามารถร่วมทำกิจกรรมนอกบ้านกับครอบครัวได้ โดยไม่ต้องกังวลเหมือนก่อน ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะทำให้เป้าหมายการเปิดประเทศของเรา มีความปลอดภัยและยั่งยืน

ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนกับบุคลากรด้านการศึกษามาล่วงหน้าแล้วกว่า 70% ทั่วประเทศ พร้อมทั้งกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ก็ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดทำแนวปฏิบัติ Sandbox: Safety Zone in School

สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม สามารถเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนได้ ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ จึงขอให้โรงเรียน และนักเรียนปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด และหากโรงเรียนใด มีการเปิดเรียนแล้วพบการติดเชื้อภายในโรงเรียน ก็ต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของกระทรวงสาธารณสุขที่มีการเตรียมการรับมือไว้แล้วอย่างเคร่งครัด

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าการให้บริการวัคซีนกับลูกหลานของเราด้วยความสมัครใจในวันนี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญให้อนาคตของชาติได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้อนรับเปิดเทอมใหม่ ที่เด็กๆจะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องเรียนอย่างปลอดภัย โดยที่ผู้ปกครองคลายความกังวลได้ครับ