posttoday

"พิชัย"ขู่"ประยุทธ์"ฝ่ายค้านเตรียมจัดหนักอภิปรายไม่ไว้วางใจ

30 สิงหาคม 2564

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเตือน“ประยุทธ์”ต้องแก้ปัญหาจริง อย่าผักชีโรยหน้าเพราะกลัวอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขู่เตรียมรับมือการอภิปราย“เพื่อไทย”จัดหนัก

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ อีก 5 รมต.ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 3 กันยายนกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนอย่างมาก โดยคาดหวังว่าฝ่ายค้านจะนำความล้มเหลวทุกด้าน รวมถึงปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ และพลเอกประยุทธ์เองก็น่าจะทราบดีว่าตนเองบริหารล้มเหลวแบบแตะตรงไหนก็เละ ดังนั้นจึงได้มีความพยายามจะแก้ปัญหาแบบจัดฉาก หรือ ผักชีโรยหน้า คือทำแบบสร้างภาพโดยไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริง และใช้ประชาสัมพันธ์แบบโบราณล้าหลังเพื่อหวังจะหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกดาวน์ทั้งที่ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมากประมาณวันละ 16,000 -20,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 200-300 คนทุกวัน ในขณะที่ตอนประกาศล็อกดาวน์ผู้ติดเชื้อเพียงวันละประมาณ 8 -9 พันคน และเสียชีวิตวันละ 70-80 คน เท่านั้น ซึ่งสถานการณ์ยังไม่ได้ดีกว่าตอนประกาศล็อกดาวน์เลย จึงเป็นคำถามว่าที่ประกาศปลดล็อกดาวน์เพราะกำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ เป็นแค่ผักชีโรยหน้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาได้จริงๆ เพราะสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นจริงแต่อย่างไร การล็อกดาวน์แต่แรกโดยไม่มีแผนงานที่เป็นระบบรองรับทำให้ยิ่งล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด เศรษฐกิจได้เสียหายอย่างมาก นอกจากนี้การที่ปลดล็อกดาวน์โดยไม่มีแบบแผนอย่างเป็นระบบรองรับก็เช่นกัน เพราะวัคซีนคุณภาพยังไม่ได้กระจายการฉีดเพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เหมือนประเทศอื่นใช้กำหนดในการที่จะปลดล็อกดาวน์ ซึ่งหากมีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มสูงขึ้นอีก พลเอกประยุทธ์จะสั่งล็อกดาวน์อีกครั้งหรือไม่ การเปิดๆปิดๆหรือที่เรียกว่า “โรคลักปิดลักเปิด” นี้ จะยิ่งทำลายความเชื่อมั่นและจะทำความเสียหายทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากขึ้นยพานการบริหารจัดการวัคซีนที่ล้มเหลวก็เช่นกัน สถานการณ์ยังไม่ได้ดีขึ้น ปริมาณวัคซีนยังขาดแคลนอย่างมาก พลเอกประยุทธ์พยายามเอาเรื่องเก่ามาขายฝันว่าจะฉีดได้ 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี แต่ยังไม่เห็นวัคซีน

นายพิชัย กล่าวว่า ที่เข้ามาจริงมีแต่ราคาคุย เห็นมีแต่การจัดซื้อวัคซีนซีโนแวคอีก 12 ล้านโดสที่ประชาชนด่ากันทั้งเมือง เพราะข้อมูลที่ปรากฏกระจายทั่วโลกว่าวัคซีนซิโนแวคไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิดสายพันธ์ุเดลต้าได้ ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ที่บอกว่าสั่ง 30 ล้านโดส ก็เพิ่งจะสั่งไปไม่นาน ไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาจริงได้เมื่อไหร่ เพราะสหรัฐประกาศฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับประชาชนทั้งประเทศแล้ว ดังนั้นความต้องการวัคซีนคุณภาพจะเพิ่มขึ้นอีกมาก และประเทศไทยเองก็ต้องคิดถึงวัคซีนเข็ม 3 ล่วงหน้ากันได้แล้วเหมือนกัน ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนเข็ม 1 ได้กันเพียง 34.45 % เท่านั้น และ ฉีด 2 เข็ม เพียง 11.01 % ดังนั้น จึงอยากให้มีวัคซีนที่เข้ามาจริง และวัคซีนเต็มแขนจริง ไม่ใช่วัคซีนทิพย์ที่มีแต่ราคาคุยเพื่อไว้แก้ตัวในสภาฯ ตอนถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น นอกจากนี้ประชาชนจำนวนมากยังเชื่อว่าจะต้องมีการทุจริตคอรัปชั่นในการจัดซื้อวัคซีน และ ชุดตรวจ ATK ซึ่งไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นในการบริหารจัดการที่ล้มเหลวแบบสิ้นคิด นอกจากจะต้องมีการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ก็ต้องขาดสมองขาดสติสัมปชัญญะกันอย่างมากถึงทำได้เละเทะขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนความล้มเหลวเรื่องตำรวจที่มีการพูดกันมาก เพราะพลเอกประยุทธ์รับผิดชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย คดีผู้กำกับโจ้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับความเชื่อถือของสำนักตำรวจแห่งชาติอย่างมาก คลิปการใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาจนเสียชีวิตกระจายไปทั่วโลก พร้อมกับคลิปที่ตำรวจใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้ชุมนุม ทั้งการยิงกระสุนยางระยะกระชั้นชิด และ ยิงแก๊สน้ำตา ยิ่งตอกย้ำความเสื่อมถอยของตำรวจไทย และการปล่อยให้ผู้กำกับโจ้แถลงข่าวแก้ตัวหลังจากถูกจับกุมยิ่งตอกย้ำความเสื่อมทราม ขนาดสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยยังต้องออกมาท้วงติงความถูกต้องทางกฎหมาย และเรื่องการคลุมหัวนี้หากจำกันได้ พลเอกประยุทธ์ใช้วิธีการนี้ในการคลุมหัวตัวแทนของพรรคการเมืองโดยเฉพาะรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหลายท่าน ที่ไปร่วมประชุมที่สโมสรกองทัพบกตามคำเชิญของกองทัพแต่พลเอกประยุทธ์กลับประกาศปฏิวัติและใส่กุญแจมือพร้อมคลุมหัวตัวแทนพรรคเพื่อไทยเพื่อนำไปกักตัว และต่อมาอีก 1 ปีกว่า ผมเองก็ถูกทหารนำถุงดำคลุมหัวเพื่อนำไปกักตัว 7 วันและถูกคลุมหัวกลับ ในการปรับทัศนคติครั้งที่ 7 เพราะเตือนว่าเศรษฐกิจจะพัง แล้วเศรษฐกิจก็พังจริงๆ และปีที่แล้วยังมีครูถูกศาลตัดสินให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญาเพราะนำถุงดำไปคลุมหัวเด็กนักเรียนเพื่อทำโทษ จนกระทั่งมาถึงคดีผู้กำกับโจ้นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นพฤติกรรมของผู้นำที่ทำเป็นแบบอย่างของการกระทำผิดๆ ให้มีการกระทำตาม

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ที่ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมาก และจะเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลง พลเอกประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจกลับไม่มีแนวทางแก้ไข อีกทั้งทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เงียบหายไปกันหมด เหมือนปล่อยประเทศและประชาชนให้เป็นไปตามยถากรรม พอถูกคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยทักท้วง พลเอกประยุทธ์ก็ได้ให้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ออกมาพูด 6 แนวทางของรัฐบาล ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดอ่อนและความล้มเหลว ของพลเอกประยุทธ์ให้เห็นชัดขึ้น 

"ความล้มเหลวทั้งการควบคุมไวรัส ความล้มเหลวทางการบริหารจัดการวัคซีน ความล้มเหลวทางการบริหารเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง ไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยการแก้ตัวหรือการประชาสัมพันธ์ เพราะประชาชนถูกหลอกมามากแล้ว ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และคณะจะต้องเตรียมรับการอภิปรายจากพรรคเพื่อไทยที่จัดหนักอย่างแน่นอน โดยพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าหลังจากการอภิปรายไม่ว่าผลโหวตจะออกมาอย่างไร ประชาชนจะได้รับข้อมูลความล้มเหลว การทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้ หมดความน่าเชื่อถือ พลเอกประยุทธ์จะหมดสภาพในการที่จะบริหารประเทศนี้อีกต่อไป และควรจะออกไปได้เลย"