จัดหนักแต่เช้า!! ฝ่ายรุมถล่มร่างงบปี 65 จี้ตัดงบไม่จำเป็นออก ชี้รัฐตัดโอกาสกู้ SME

วันที่ 1 มิ.ย. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันที่สอง

จากนั้น นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการจัดงบประมาณครั้งนี้เพราะไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ดูได้จากงบประมาณของกระทรางกลาโหมบอกว่าลดแต่ลดไม่จริง เพราะลดในส่วนที่ไม่ควรลด แต่กลับไปลดงบกระทรวงสาธารณสุข การที่อ้างว่างบกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ลด เพราะสามารถไปใช้งบในกองทุนต่างๆนั้นไม่จริงเพราะงบของกองทุนต่างๆก็ลดลงเหมือนกัน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม นายกฯมาอวดว่าจัดงบฯลดลง ซึ่งลดลงแสนกว่าล้านบาท แต่กู้ 5 แสนล้านบาท ใครก็เคย แบบนี้ตนรับไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องลดลงได้ ตนเห็นว่าควรตัดงบที่ไม่จำเป็นไม่ใช่ภารกิจหลักของทหารออกไปเพราะภารกิจหลักของทหารคือป้องกันประเทศ ดังนั้นภารกิจอื่นควรโอนไปให้พลเรือนดำเนินการ แม้แต่รายการปรับปรุงอาคารสถานที่ก็ควรตัดออกไป รวมทั้งการลดบุคคลกรของกองทัพด้วยในอนาคตประมาณ 10 ปี ถ้าบุคลากรหน่วยราชการไม่ลดลง รัฐจะต้องร่ายเงินบำเหน็จบำนาญ จำนวน 8 แสนล้านบาทต่อปี และงบของกองทัพอะไรที่เริ่มใหม่ 65 ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้ตัดไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งหมด

ด้าน นายเกษม อุประ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังกับการจัดงบประมาณครั้งนี้ เพราะเหมือนหลงยุคไปยุคสงครามโลกทั้งที่ยุคนี้คือสงครามไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนอย่างมาก เป็นการจัดงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์หรือสอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิดผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น เพราะว่าความสับสนจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมเท่านั้น จนทำให้เกิดการลุกลาม ซึ่งต้องขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และทุกภาคส่วนที่ออกมาช่วยกันแก้ไขจนทำให้โควิดซาลงไปได้ แต่การขาดประสิทธิภาพของการบริหารส่งผลให้เกิดการระบาดระลอก 2 และระลอก 3

ขณะที่ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การจัดสรรงบรายจ่ายปี2565 น่าผิดหวัง งบเอสเอ็มอีถูกตัด รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การตัดงบบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)คือ การตัดโอกาสที่เอสเอ็มอีจะได้กู้เงิน ตัวเลขล่าสุด รัฐบาลมียอดค้างจ่ายบสย. 56,000ล้านบาท ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้เอสเอ็มอี 4ปีที่ผ่านมากลุ่มทุนใหญ่กู้เงินได้มากขึ้น35% ผิดกับเอสเอ็มอีกู้ได้ลดลง ถูกตัดออกจากวงจรการเข้าถึงสินเชื่อ รัฐบาลปล่อยทุนใหญ่กลืนกินเอสเอ็มอี รัฐบาลไม่ต้องการช่วยเอสเอ็มอี ทำให้เอสเอ็มอีเสี่ยงต่อการปิดกิจการจำนวนมาก