posttoday

ทบ.แจงพ่นฆ่าเชื้อพื้นที่ชายแดนในจุดที่ชาวเมียนมาหนีภัยมาพักพิงชั่วคราว

15 เมษายน 2564

ทบ.แจง ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ชายแดน ที่ผู้หลบหนีภัยชาวเมียนมา เข้ามาพักพิงชั่วคราวในช่วงต้นเม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้ปลอดเชื้อ ยืนยันน้ำยาฆ่าเชื้อจาก สธ.มีประสิทธิภาพ

พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงถึงข้อวิจารณ์ เรื่องการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อชายแดนไทย-เมียนมา ว่า ไม่คุ้มค่าคุ้มค่าและ ประสิทธิภาพในการฉีดน้ำยาบริเวณชายแดน ว่า เนื่องด้วยในช่วงต้นเดือนเมษายน มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาจำนวนมากได้เข้ามาพักชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัยแนวชายแดนและได้เดินทางกลับประเทศไปแล้วหลังเหตุการณ์คลี่คลาย

หลังจบเหตุการณ์ กองกำลังชายแดน ได้ปฏิบัติตามมาตรการดูแลพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย และการควบคุมป้องกันโรค เพื่อให้พื้นที่นั้นกลับสู่สภาพปกติ พร้อมทั้งได้ทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคป้องกันโรคติดต่อ ที่อาจแฝงมากับผู้หนีภัยฯ ตามมาตรการด้านสาธารณสุข

การฉีดพ่นฆ่าเชื้อ หน่วยทหารได้บริหารจัดการ สิ่งอุปกรณ์และกำลังพลที่มีอยู่แล้ว โดยเป็นอุปกรณ์ที่หน่วยใช้ในภารกิจช่วยดับไฟป่า พร้อมขอสนับสนุนน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจากหน่วยงานสาธารณสุข เป็นการนำเครื่องมือของส่วนราชการที่มีอยู่แล้วมาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าในการช่วยเหลือดูแลประชาชน

ทั้งนี้การรวมตัวกันของคนจำนวนมากในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความเสี่ยง การทำพื้นที่ให้สะอาด จึงเป็นมาตรการป้องกันโรคติดต่อและ ลดการสะสมของเชื้อโรคต่างๆที่เกิดจากสภาพความเป็นอยู่และของเสียจากร่างกาย สุขอนามัยส่วนบุคคลในบริเวณที่เคยมีคนมาพักอาศัยเป็นจำนวนมากได้อีกทางหนึ่ง เป็นมาตรการสร้างความปลอดภัยและป้องกันโรคให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดน

ที่สำคัญเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนท้องถิ่น ในการกลับเข้าทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามวิถีเดิม เช่น ปลูกพืชล้มลุก หรือหาอาหาร เป็นต้น

ในปัจจุบัน การทำความสะอาดล้างสิ่งปนเปื้อนและฉีดสารฆ่าเชื้อในพื้นที่สาธารณะ แหล่งชุมชน เช่น โรงเรียน วัด สำนักงาน ตลาด สถานีขนส่ง หน่วยทหารของกองทัพบกได้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ และประชาชนจิตอาสา ดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อCOVID-19 อย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในหน่วยทหาร และพื้นที่โดยรอบ โดยสรุปตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2564 ถึงปัจจุบัน มีการปฏิบัติใน 268 พื้นที่ และ162 โรงเรียน ซึ่งเป็นการใช้ศักยภาพของกองทัพในการดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างดีที่สุด