posttoday

ครป.ค้านบิ๊กตู่ใช้ม.112ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง

19 พฤศจิกายน 2563

เลขา ครป. เตือนนายกฯ อย่าใช้ ม.112 ขัดพระราชประสงค์ จี้เร่งกระบวนการประชามติและเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยเร็ว

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หลังจากติดตามการอภิปรายเพื่อโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา พบว่ามีความคืบหน้าของประชาธิปไตยไทยไปมากพอสมควร เนื่องจากรัฐสภารับหลักการเสียงข้างมากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและตั้ง ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งได้ เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองก็คาดว่าแก้ไขได้ยากเพราะติดกับดัก ส.ว.สืบทอดอำนาจ แม้จะมี ส.ว.งดออกเสียงจำนวนมากทำให้ได้เสียงสนับสนุนไม่เพียงพออีก 5 ฉบับซึ่งสะท้อนถึงความไม่กล้าหาญทางการเมืองที่จะแสดงตน แต่อย่างน้อยก็มี ส.ส.มากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรโหวตรับอย่างน้อย 4 ฉบับ

เป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตย เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 212 ต่อ 138 เพียงแต่ติดกับดักรัฐธรรมนูญที่ต้องการเสียง ส.ว. 1 ใน 3 เท่านั้น ซึ่งในขั้นต่อไปสังคมไทยคาดหวังว่า 45 คณะกรรมาธิการพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะดำเนินการแปรญัตติและผ่านวาระ 3 โดยเร็วเพื่อให้มีการประชามติและเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยเร่งด่วน เพื่อสร้างกติกาทางการเมืองใหม่ร่วมกัน และสิ้นสุดการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. โดยคณะกรรมาธิการและ ส.ส.ร.ควรเอาหลักการและเจตนารมณ์ในการแก้กฎหมายของภาคประชาชนมากลั่นกรองด้วย เพราะหลักการในการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเหตุผลเดียวกัน

ระหว่างกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินไปคู่ขนานกับการชุมนุมประท้วง รัฐบาลต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้าหรือความรุนแรงให้เกิดขึ้น การที่นายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวเพื่อบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ เพื่อดำเนินการต่อผู้ชุมนุม ไม่ใช่การถอยคนละก้าวเพื่อสร้างความสมานฉันท์ แต่เป็นการตอบโต้ด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ใช่การใช้หลักการความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) และกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อนำไปสู่ความปรองดองแต่อย่างใด

ผมขอเตือนนายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าอย่าใช้มาตรา 112 กับการชุมนุมทางการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นการขัดพระราชประสงค์ที่ไม่ต้องการให้ใช้กับประชาชน ตามที่นายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าได้ถูกกำชับมาโดยตรงตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา หากมีการบังคับใช้จะเป็นการละเมิดพระราชดำรัสโดยตรงและทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสียหาย เนื่องจากมาตรา 112 มักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาอย่างยาวนานเพื่อทำลายหรือกลั่นแกล้งกันและไม่เป็นผลดีต่อสังคมประชาธิปไตย ซึ่งเคยมีข้อเสนอว่ามาตรานี้ควรให้มีการพิจารณาฟ้องหมิ่นประมาทจากสำนักงานพระราชวังเท่านั้น เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมือง โดยหากมีผู้กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงอื่นๆ ก็มีกฎหมายอาญาบังคับใช้อยู่แล้ว

ขณะนี้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลจะต้องไม่เติมฟืนเข้าไปในกองไฟด้วยการจัดตั้งเงื่อนไขต่างๆ ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการถกเถียงข้อเสนอและทางออกจากปัญหาในเชิงโครงสร้างร่วมกัน โดยอาจให้สถาบันวิชาการศึกษาหาข้อสรุปในการปฏิรูปสถาบันต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุคสมัย และแยกประชาชนที่ขัดแย้งกันให้ชุมนุมคนละพื้นที่เพื่อไม่ให้มีการปะทะ แยกคนที่ก่อความรุนแรงและมีอาวุธออกจากประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิการชุมนุมดังที่เคยได้ทำมาแล้วอย่างเข้มงวด

ส่วนผู้ชุมนุมควรจะต้องมีการควบคุมกันเองอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการปลุกระดมความเกลียดชังด้วยถ้อยคำ Hate Speech หรือการโฆษณาชวนเชื่อด้วยข่าวลือและป้องกันมือที่สามอย่างเข้มงวด เพราะจะนำไปสู่ความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนได้จนยากแก่การควบคุมและอาจบานปลายกลายเป็นความสูญเสีย

การสร้างความเกลียดชังจะสะสมความรุนแรงในหมู่ประชาชนและสังคมไทยในมิติต่างๆ ไม่สิ้นสุด จนอาจทำให้มองข้ามความเป็นมนุษย์ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ไทยและในต่างประเทศ เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมอารยะเราจึงต้องสร้างความเป็นอารยะร่วมกันด้วยทุกฝ่าย ดังนั้นหากรัฐเผด็จการใช้วิธีการสกปรก เราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสกปรกตอบโต้ และแยกบุคคลที่ไม่หวังดีออกไปดังที่ฝ่ายประชาชนได้พยายามกระทำอยู่ นี่คือการต่อสู้ของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อเปิดพื้นที่ให้ใช้สิทธิดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ในฐานะที่ไม่ใช่คู่กรณีของประชาชน

ที่มา https://www.facebook.com/MethaMat/photos/a.751931288235897/3404176646344668/