posttoday

"สุวิทย์"ลั่นขอทำงานจนวินาทีสุดท้าย บอกทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ

09 มิถุนายน 2563

"สุวิทย์" เคลียร์กระแสกอดคอ 3 กุมารลาออก ชี้อยู่ที่ดุลยพินิจนายกฯ พร้อมโชว์สปิริต มาด้วยกัน-ไปด้วยกัน ลั่น ขอทำงานจนวินาทีสุดท้าย

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และรักษาการรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกระแสข่าวเตรียมนัดหารือนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และรักษาการหัวหน้า พปชร. และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงษ์รมว.พลังงาน และรักษาการเลขาธิการ พปชร.เกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่า วันนี้ตนยังทำงานอยู่ ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน ต้องช่วยนายกฯนำพาวิสัยทัศน์ของประเทศไปข้างหน้าในช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 ที่หลายคนมองว่าจะเป็นวิกฤติ

"ผมมองว่าประเทศไทยมีโอกาส เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เรามีจุดแข็งอยู่เยอะมาก เช่นการบริหารสถานการณ์ ทั้งการแพทย์และเรื่องการอุปโภค บริโภค หลังจากนี้ทุกคนมีหน้าที่มองในด้านบวก และประเทศไทยมีศักยภาพในการตอบโจทย์โลกหลังโควิด-19 อย่างไร หน้าที่ของผมในฐานะรัฐมนตรี คือเข้าไปเยียวยาฟื้นฟูทั้งภาคเอกชน และประชาชน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี"นายสุวิทย์กล่าว

นายสุวิทย์กล่าวว่า ที่โพสต์เฟซบุ๊คถึงเรื่องการปล่อยวางนั้น เป็นการเตือนตัวเอง ไม่ได้ปลงกับปัญหา วันนี้นายกฯให้โจทย์มาอีกเยอะ ตอนนี้มีหน้าที่ทำงาน และแม้ตนจะเป็นรองหัวหน้า พปชร.แต่ไม่ค่อยคุ้นชินกับงานการเมือง และเมื่อเป็น รมว.อว. ก็มาช่วยนายกฯ ในการขับเคลื่อนหลายเรื่อง และปกติตนก็โพสต์ข้อความในวันอาทิตย์ที่เป็นเรื่องสบายๆ

เมื่อถามว่า ถือว่าถอดใจหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า เราทำงาน ทำจนวินาทีสุดท้าย ตอนนี้มีแม้มีความคิดหลากหลายก็ต้องมาคุยกันว่า การเมืองหลังโควิด-19 ควรจะเป็นยังไง รูปแบบการเมืองที่ทำกันอยู่แบบเดิมๆตอบโจทย์หรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีที่ระบุว่า 3 กุมารจะนัดคุยนั้น นายสุวิทย์ กล่าวว่า ก็เพราะเราเป็นคู่กรณี ถ้ามีโอกาสก็ต้องคุยกัน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องสปิริต เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน แต่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ก่อนหน้านี้พวกตนคือ 4 กุมารลาออกจากรัฐบาลคสช.เพื่อไปตั้งพรรคใหม่ เป็นอารมณ์ของการที่มาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน ก็ต้องคุยกัน ซึ่งการตัดสินใจจะไม่ใช้อารมณ์ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แต่เป็นเรื่องภายในพรรค 4 กุมารเป็นกรรมการบริหาร แต่นายสมคิดเป็นอาจารย์ของตน และให้การสนับสนุน 4 กุมารมาตลอด ก็แล้วแต่ท่าน

แต่ถ้าแยกให้ออกเรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน ก็ต้องมาคุยกัน ซึ่งจริงเท็จไม่รู้ แต่มีการพูดกันว่าการปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคเชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยน ครม. ซึ่งข้อเท็จจริงการปรับครม.เป็นเรื่องของนายกฯ แล้วไม่ว่าจะคุยกันยังไงก็ตาม ต้องเคารพท่านนายกฯ ตัดสินใจยังไงก็ตาม ต้องหารือนายกฯก่อน และการลาออกจาก ครม.หรือไม่หลังการหารือทั้งสามคน ต้องให้เกียรตินายกฯ เพราะท่านเป็นคนเลือกเรามา

"ผมถือว่าภารกิจผม ท่านนายกฯไว้วางใจ ให้มาตั้งกระทรวงใหม่ ตั้งไข่มาระดับหนึ่งหากลาออกเลยจะหาว่าทิ้งกระทรวง ตอนนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งปี ถือว่าสร้างฐานรากมาพอสมควร ก็เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีใหม่ แต่ส่วนนายกฯจะให้ผม และอีกสองกุมารอยู่ต่อหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของท่านนายกฯ และวันนี้นายกฯไม่ได้ส่งสัญญานอะไร ซึ่งท่านมองว่าควรมองประเทศไทยไปข้างหน้า อย่ามัวเสียเวลามองแต่ปัญหา"นายสุวิทย์ กล่าว

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่า ไม่ได้ใกล้ชิดกับพรรค ตรงนี้เป็นปัญหาใช่หรือไม่ นายสุวิทย์กล่าวว่า ตรงนี้เป็นข้อบกพร่องของตน ในช่วงที่ผ่านมาตนไม่มี ส.ส. และตามรัฐธรรมนูญ ตนก็เป็น ส.ส. ไม่ได้ และงานในกระทรวงอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย และงานวิจัย ยอมรับว่า ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีก็ทำงานอยู่แต่ที่กระทรวง เพราะจำเป็นต้องขึ้นรูปกระทรวงใหม่

ถามต่อว่า การเลือก กรรมการบริหารชุดใหม่ จะสมัครเป็นรองหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่าพอแล้ว อันนี้เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน การทำหน้าที่รักษาการตรงนี้ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการทำงานให้เต็มที่ ส่วนช่องโหว่ความสัมพันธ์กับส.ส.นั้น หากยังทำงานในฐานะรัฐมนตรีคือสิ่งที่ต้องปรับปรุง เพราะเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่ให้เขามาตีเราได้ เรื่องนี้ตนไม่ปฏิเสธ แต่จะปรับปรุงเพื่อไปบริหารพรรคใหม่หรือไม่นั้น ต้องขอคิดอีกที และตั้งแต่มีประเด็นนี้ พวกตนทั้งสามคนยังไม่ได้คุยกันต้องคุยกัน ต่างคนต่างคิดไม่ได้ และเมื่อคุยกันแล้วต้องเรียนผู้ใหญ่

อย่างน้อยท่านนายกฯ และนายสมคิด ต้องรับทราบในสิ่งที่พวกเราหารือกัน และคิดอ่านอย่างไร ซึ่งเราต้องรักษาภาพใหญ่ให้ได้เพราะนายกฯ ยังต้องอยู่ในภาวะต้องขับเคลื่อนวิกฤติ ไม่อยากให้ท่านปวดหัว ซึ่งในการประชุมครม.วันพรุ่งนี้ เมื่อเจอกันทั้งสามคน คงได้คุยกัน

เมื่อถามว่า นายสมคิดได้ส่งสัญญานอะไรมาหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า ท่านก็ส่งสัญญานเหมือนที่ถามกับสื่อว่าเบื่อหรือไม่ ซึ่งตนก็บอกว่าสู้อยู่ ไม่ได้สู้ทางการเมือง แต่สู้ในเนื้องานของกระทรวง แต่ตนก็รับรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น จะไปนิ่งนอนใจไม่ได้