"ชวน"ขอสื่อจับตาการเลือกตั้งผิดปกติ

"สุกิจ อัถโถปกรณ์" ปชป. ขอยุติทางการเมือง หลังแพ้ให้กับ พปชร. ขณะที่ "นายหัวชวน" บอกเสียดายคนดีๆ พร้อมขอให้สื่อจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้

วันที่ 25 มี.ค. บรรยากาศที่บ้านพักของนาย ชวน หลีกภัย  ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์  ถ.วิเศษกุล เขตเทศบาลนครตรัง  ยังคงเงียบเหงา มีเพียงคนใกล้ชิดที่เดินทางเข้าไปนั่งพูดคุยเรื่องการเมือง   รวมทั้ง น.พ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ 3 สมัย  ซึ่งต้องมาพ่ายให้กับ นายนิพันธ์ ศิริธร อดีตรองผู้ว่าฯ ตรัง จากพรรคพลังประชารัฐ และเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่ต้องเสียที่นั่งให้กับพรรคอื่น  ทั้งที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญของ นายชวน จนถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเมืองหลวงของพรรคประชาธิปัตย์

นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือกตั้งต้องมีแพ้และชนะเป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง และหลังจากนี้จะขอยุติบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าพรรคมีอะไรให้ทำก็ยินดีช่วย  ส่วนสาเหตุที่แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้มีหลายปัจจัย เช่น การให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลที่โหมกระหน่ำลงมา และกระแสความนิยมบางพรรคที่มาดึงคะแนนของตนไป เนื่องจากมีผู้สมัครจำนวนมากส่งผลให้คะแนนของตนถูกแบ่งไปพอสมควร รวมทั้งปัจจัยอย่างอื่น  ทั้งที่ตนเองได้พยายามเต็มที่ และสู้เพื่อประชาชนมาตลอด โดยเฉพาะการแก้ปัญหายางพาราและปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ  จึงขอให้พี่น้องประชาชนจับตาดูนโยบายของบางพรรคที่รับปากว่า จะแก้ปัญหาราคายางพาราที่ ก.ก.ละ 65 บาท ราคาปาล์มน้ำมันที่ ก.ก.ละ 5 บาท ว่า จะทำได้จริงหรือไม่

ด้าน นายชวน หลีกภัย เปิดเผยว่า  ทุกพรรคก็หวังชัยชนะ ส่วน นพ.สุกิจ แพ้ไปกว่า 800 คะแนนเท่านั้น และตนเองก็เสียใจและเสียดาย  แต่สิ่งที่ตนภูมิใจคือ เราทำการเมืองแบบสุจริต ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยจะไม่ซื้อเสียง หรือไม่โกงเลือกตั้ง  และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นพ.สุกิจ ก็ยึดหลักการนี้มาโดยตลอด จึงขอขอบคุณทุกคะแนนที่ได้ เพราะเป็นเสียงบริสุทธิ์จริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่าโดยภาพรวมที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งครั้งนี้วิเคราะห์ว่าอย่างไร  นายชวน กล่าวว่า คงต้องอาศัยสื่อช่วยวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวูบวาบในช่วง 1-2 อาทิตย์ก่อน  โดยถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น และวิเคราะห์ดูว่าผลออกมาเป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้  แต่ตนขออนุญาตไม่ออกความเห็น เพราะไม่มีความรู้มากพอที่จะหยั่งลึกได้  อย่างไรก็ตาม ยินดีที่คนส่วนหนึ่งใน จ.ตรัง ยังยึดมั่นในเรื่องนี้อยู่ และระบบประชาธิปไตยจะไปรอดในอนาคตต้องสร้างความชอบธรรม  โดยหากได้พรรคการเมืองที่มีการมาจากระบบใช้เงินซื้อเสียง การเลือกตั้งระบบประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด  ส่วนตัวเองหลังจากนี้ก็จะไปเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ คงจะอยู่ในสภา และทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชนต่อไป