'พลังประชารัฐ'เต็มสูบ ออกตัวก่อน-รอเข้าเส้นชัย
กกต.รับรองพรรคพลังประชารัฐ ได้สถานะความเป็นพรรคการเมือง ถือว่ามีนัยทางการเมืองพอสมควร เพราะอย่างน้อยจะทำให้เดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อการหาเสียงได้อย่างเต็มที่เสียที
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ในที่สุด "พรรคพลังประชารัฐ" ได้สถานะความเป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองการจดทะเบียนพรรคเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา
การเป็นพรรคการเมืองอย่างเต็มตัวตามกฎหมาย ถือว่ามีนัยทางการเมืองพอสมควร เพราะอย่างน้อยจะทำให้เดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อการหาเสียงได้อย่างเต็มที่เสียที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "4 รัฐมนตรี" ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเข้ามามีตำแหน่งในพรรค ได้แก่ อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ผ่านมา 4 รัฐมนตรีจะเดินหน้าทำงานการเมืองเต็มตัวก็ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะนอกจากจะเจอกับกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว การที่พรรคการเมืองยังไม่มีความมั่นคงในทางกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่ยังสื่อสารกับประชาชนเพื่อหาคะแนนเสียงได้ยากอยู่พอสมควร
แต่เมื่อฟ้าของพรรคพลังประชารัฐได้เปิดขึ้นอย่างสดใสแล้ว แน่นอนว่าพรรคก็น่าจะสามารถบริหารจัดการอะไรต่อมิอะไรได้เข้าที่เข้าทาง และมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกับการวางตัวผู้สมัคร สส.
ล่าสุด "กลุ่มสามมิตร" ที่เคยมีข่าวว่า มีความระหองระแหงกับแกนนำพรรคบางกลุ่ม ก็พร้อมกลับมาผนึกกำลัง
"หลังจาก กกต.ได้ประกาศรับรองพรรคพลังประชารัฐแล้ว กลุ่มสามมิตรก็จะนำสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ ทางกลุ่มมั่นใจว่าด้วยนโยบาย ที่ตอบโจทย์ของประชาชนได้ จะทำให้พรรคพลังประชารัฐได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ"ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกกลุ่ม สามมิตร ระบุ
การเข้ามาอยู่ในพรรคพลัง ประชารัฐของกลุ่มสามมิตร ถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพรรคพลังประชารัฐอย่างเห็นได้ชัด
อย่างที่ทราบกันดีว่า บรรดา นักเลือกตั้งที่อยู่ในมือของกลุ่มสามมิตรนั้นล้วนแต่เป็นอดีตสส.หลายสมัย แม้จะร้างสนามไปบ้าง เนื่องจากมีการรัฐประหาร แต่ที่ผ่านมานักเลือกตั้งก็ยังคงรักษาพื้นที่ต่อเนื่อง ทำให้โอกาส ที่คู่แข่งจะเข้ามาแย่งพื้นที่น่าจะทำได้ลำบาก
แต่นอกเหนือไปจากปัจจัยที่ กลุ่มสามมิตรเข้ามาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีอีกอย่างน้อย 2 ปัจจัยที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐได้เปรียบพรรคการเมืองคู่แข่งด้วย
1.การมีอำนาจเต็มของรัฐบาลเป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลชุดนี้ยังคงมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินสมบูรณ์ทุกประการ รวมไปถึงการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
ข้อได้เปรียบตรงนี้ทำให้รัฐบาลสามารถเสนอโครงการใหม่และขนาดใหญ่ได้เพื่อดึงคะแนนเสียงและกลุ่มการเมืองให้มาสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพราะการที่รัฐบาลอยู่ในตำแหน่งมา 4 ปี ย่อมมีบารมีมากกว่าพรรคการเมืองที่ร้างอำนาจมาในเวลาเดียวกัน ย่อมส่งผลให้คนจะเลือก พรรคพลังประชารัฐเพื่อเข้ามาสานงานต่อให้จบ
2.พรรคการเมืองอื่นยังมีสงครามกันภายใน พรรคพลังประชารัฐ เมื่อเทียบกับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคชาติไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มี สส.เข้าสภามา ต่อเนื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคพลังประชารัฐดูเป็นพรรคที่มีเอกภาพ มากที่สุด
พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้หัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ แม้ด้านหนึ่งเหมือนว่าหัวหน้าพรรค คนเก่าจะลอยลำ แต่กว่าจะจัดทีมกันใหม่ ก็น่าจะตามหลังพรรคพลังประชารัฐพอสมควร
พรรคเพื่อไทย ทีแรกดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่ภายหลังพรรคเพื่อไทยประชุมสมาชิกพรรคและเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ปรากฏว่า เกิดอาการเลือดไหลไปยังพรรคสาขา "พรรคไทยรักษาชาติ"การมีพรรคไทยรักษาชาติอาจจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการหาที่ลงของสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ต้องยอมรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่ได้แนบแน่นเหมือนในอดีตแล้ว
พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นอีกพรรคการเมืองที่มีคลื่นใต้น้ำไม่ต่างกัน ทีมงานเลือดใหม่ของพรรคที่เคยได้รับการหมายมั่นปั้นมือว่าจะถือธงนำพรรคลงสนามเลือกตั้ง แต่เมื่อรุ่นใหญ่ของพรรคขอกลับมาลงสนาม ทำให้กลุ่มเลือดใหม่ของพรรคแทบไม่เหลือ ที่ยืนในพรรค จนต้องย้ายออกไปอยู่พรรคการเมืองอื่นแทน ดังจะเห็นได้จาก สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต สส.ศรีสะเกษ
ด้าน พรรคภูมิใจไทย น่าจะเป็นพรรคการเมืองเก่าที่ไม่มีปัญหา ความขัดแย้งภายในพรรคมากนัก แต่ก็ยังมีคำถามว่าการที่พรรคไม่ได้ ลงเลือกตั้งมาเป็นเวลา 4 ปี จะพอสู้กับพรรคพลังประชารัฐไหวหรือไม่ เพราะในอดีตขนาด จ.บุรีรัมย์ ที่เป็นเมืองหลวงของพรรคยังเคยโดนเจาะยาง มาแล้ว
จากภาพรวมที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ พรรคพลังประชารัฐ น่าจะได้เปรียบกว่าใครและพร้อมลงสนาม เลือกตั้งมากที่สุด เพราะอุดมไปด้วยกระแสและบารมี
เหลือแต่เพียงการนำไม้ตาย มามัดใจให้ประชาชนเทคะแนน ให้เท่านั้น