posttoday

ป.ป.ช.ชุดนี้ควรตัดสินปมนาฬิกาหรูในมาตรฐานเดียวกับคดี"สุพจน์"

21 ตุลาคม 2561

"รสนา"จี้ป.ป.ช.ชุดนี้ตัดสินปมนาฬิกาหรูของบิ๊กป้อมในมาตรฐานเดียวกับป.ป.ช.ชุดก่อนรัฐประหารในคดีร่ำรวยผิดปกติของอดีตปลัดคมนาคม

"รสนา"จี้ป.ป.ช.ชุดนี้ตัดสินปมนาฬิกาหรูของบิ๊กป้อมในมาตรฐานเดียวกับป.ป.ช.ชุดก่อนรัฐประหารในคดีร่ำรวยผิดปกติของอดีตปลัดคมนาคม

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสว.กทม.และอดีต สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นเปรียบเทียบกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ คดีร่ำรวยผิดปกติของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมโดยมีข้อความดังนี้

ป.ป.ช.ชุดนี้ควรตัดสินกรณีนาฬิกาหรูในมาตรฐานเดียวกับป.ป.ช ยุคก่อนรัฐประหารในคดีร่ำรวยผิดปกติของอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม

คดีอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมที่ถูกโจรปล้นบ้านและได้เงินสดไปประมาณ18ล้านบาทเมื่อเดือนพ.ย 2554 กรณีดังกล่าวตำรวจจับโจรได้และนำมาสู่การสอบสวนขยายผลของป.ป.ช.จนพบว่าอดีตปลัดกระทรวงคมนาคมคนดังกล่าวร่ำรวยผิดปกติ

สื่อมวลชนรายงานว่า ”ในปี 2555 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จเกี่ยวกับเงินจำนวน 17,553,000 บาทเศษ และรถตู้ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน (Volk Swagen) ราคา 3,000,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 20,473,000 บาท โดยกรณีสืบเนื่องจากเหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย. 2554 ซึ่งคนร้ายที่ร่วมทำผิดคดีอาญาได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษและรถโฟล์คสวาเกนได้”

ในการแก้คดี นายสุพจน์อ้างว่ารถโฟล์คสวาเกนที่ไม่ได้แจ้งในบัญชีทรัพย์สินเป็นของที่ยืมคนอื่นมา แต่ป.ป.ช ไม่เชื่อว่ารถโฟล์คสวาเกนคันดังกล่าวไม่ใช่ของนายสุพจน์ แม้ว่ารถโฟล์คสวาเกนจะอยู่ในชื่อผู้อื่น และยังอ้างว่าได้คืนให้กับผู้ให้ยืมไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ตามคำร้องของป.ป.ช ระบุว่า “ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่ารถเป็นทรัพย์สินของนายสุพจน์ในชื่อผู้อื่น โดยมีวัดเป็นผู้ครอบครองชั่วคราว และเป็นทรัพย์สินที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน”

เมื่อวันที่18 ต.ค 2561 องค์คณะอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายืน จำคุก“สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดฯคมนาคม เป็นเวลา10 เดือน ฐานร่ำรวยผิดปกติ

นอกจากนี้ ป.ป.ช ในฐานะผู้ร้องมีมติว่านายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม(ผู้คัดค้าน) ร่ำรวยผิดปกติ และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้มีคำสั่งให้เงินสดและรถยนต์ตู้ดังกล่าวพร้อมทรัพย์สินอื่นของผู้คัดค้าน รวมจำนวน 64,998,587.52 บาท รวมทั้งดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน

คดีนายสุพจน์นั้นเป็นผลงานของป.ป.ช ชุดก่อนรัฐประหาร ซึ่งใช้เวลาเพียง1ปี ก็สามารถสอบเรื่องแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จของอดีตปลัดจนเสร็จสิ้น และส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในปลายปี2555

กรณีรถโฟล์คสวาเกนของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมมีลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีนาฬิกาหรู ที่อ้างว่ายืมเพื่อนมาใช้จนเพื่อนตายแล้ว แต่ผู้ยืมก็ยังครอบครองจนถูกจับได้ จึงอ้างว่าส่งคืนแล้วซึ่งไม่ต่างจากกรณีที่นายสุพจน์กล่าวอ้างว่ารถที่ครอบครองเป็นของยืมคนอื่นใช้ แต่ป.ป.ช ไม่เชื่อ และได้สอบสวนจนสามารถฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ได้สำเร็จ

แต่ป.ป.ช ชุดหลังรัฐประหาร ที่มีประธานเป็นอดีตหน้าห้องของพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ทำตามมาตราฐานอันเที่ยงตรงของป.ป.ช ชุดก่อน ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยว่ากำลังถ่วงเวลาการสอบกรณีนาฬิกาหรู 22 เรือน มูลค่าประมาณ 40ล้านบาทที่พล.อ ประวิตรอ้างว่ายืมเพื่อนมาใส่ ใช่หรือไม่???

กรณีนาฬิกาหรูปรากฎเป็นข่าวเมื่อ 5 ธันวาคม 2560 แต่แทนที่ป.ป.ช จะสอบตามมาตราฐานเดิมที่เคยทำมาแล้วในคดีสุพจน์ โดยที่กรณีนาฬิกาหรูไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ป.ป.ช กลับเลื่อนเวลาแล้ว เลื่อนเวลาอีก จนถูกล้อเลียนจากสื่อว่ากรณีนี้น่าจะลากยาวไปถึงชาติหน้า!!

ยิ่งป.ป.ช ปล่อยเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ป.ป.ช ก็จะทำให้สังคมเกิดความสงสัย และขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในองค์กรปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งอาจจะกระทบไปถึงคสช.และรัฐบาลที่ไม่ใช้อำนาจหน้าที่เชิงบริหาร จัดการกับคนในคณะบริหารของตน เหมือนกับที่เคยพักงานคนอื่นๆในกรณีที่เกิดความมัวหมองคล้ายคลึงกัน เข้าตำราลูบหน้าปะจมูก คสช.จึงไม่กล้าตัดจมูกของตนเอง

ใช่หรือไม่???