posttoday

ศาลสั่งยึดทรัพย์ “เกษม” คนสนิท“เจ๊แดง” ล็อตสอง 21 ล้าน

15 มิถุนายน 2561

ศาลฎีกานักการเมือง สั่งยึดทรัพย์ อดีต ส.ส. เชียงใหม่ คนสนิท "เจ๊แดง" 21 ล้าน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

ศาลฎีกานักการเมือง สั่งยึดทรัพย์ อดีต ส.ส. เชียงใหม่ คนสนิท "เจ๊แดง" 21 ล้าน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

วันที่ 15 มิ.ย.61 เวลา 11.10 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายโสภณ โรจน์อนนท์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.123/2560 ที่อัยการสูงสุด ผู้ร้อง ยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยสั่งทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดิน 2 แปลง ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และหุ้นบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 21,140,746.50 บาท ของนายเกษม นิมมลรัตน์ อายุ 54 ปี ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คนสนิทของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ คู่สมรส ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

โดยผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่  มีที่ดิน 2 แปลง และเงินลงทุนในหุ้น อันเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ รวมมูลค่า 21,140,746.50 บาท ขอให้พิพากษาให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 38 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดว่านายเกษมมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2560

ศาลฏีกาฯ วินิจฉัยว่า ที่ดินของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเพิ่มขึ้น 2 แปลง ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11777 และที่ดินโฉนด 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นทรัพย์สินที่อนุกรรมการไต่สวนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ตรวจสอบพบว่าเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จึงตรวจสอบที่มาของที่ดินทั้ง 2 แปลงที่สำนักงานที่ดิน จ.เชียงใหม่  โดยมีการซื้อขายที่ดินผ่านแคชเชียร์เช็คราคา 11 ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย สาขาแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2557 และนายเกษมจ่ายเงินสดเป็นค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินอีก 8 แสนบาท ซึ่งผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยได้เบิกความกับอนุกรรมการไต่สวนฯ ว่า พนักงานส่งเอกสารได้นำเงินมาซื้อแคชเชียร์เช็คในราคาดังกล่าว เพื่อชำระเป็นค่าที่ดินให้เจ้าของที่ดินทั้ง 2 แปลง โดยพนักงานส่งเอกสารคนดังกล่าวได้รับมอบหมายจากคนในตระกูลวงศ์สวัสดิ์ให้มาทำธุรกรรมอยู่บ่อยครั้ง ทางธนาคารได้รายงานข้อมูลการซื้อขายที่ดินให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบแล้ว และ ปปง.ได้เชิญมาให้ข้อมูลหลายครั้ง แต่ตัวพนักงานดังกล่าวได้ทำหนังสือแจ้งเลื่อนและไม่เคยเข้ามาให้ข้อมูล เมื่อตรวจสอบประวัติการทำงานของพนักงานคนดังกล่าวพบว่าทำงานอยู่ 3 แห่ง และแห่งสุดท้ายในช่วงปี 2556-2559 ได้ทำงานในบริษัทที่มีลูกชายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นกรรมการ ในการพิจารณาไม่ปรากฏว่าพนักงานส่งเอกสารคนดังกล่าวมีความผูกพันเป็นลูกจ้างหรือมีความสัมพันธ์กับนายเกษม จนต้องนำเงินที่จำนวนมากถึง 11 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินให้

ขณะที่ทั้งนายเกษมและคู่สมรสก็มีบัญชีธนาคารหลายบัญชีที่จ.เชียงใหม่ และการซื้อที่ดินก็อยู่ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องให้บุคคลมาซื้อแคชเชียร์เช็ค และนำกลับไปซื้อที่ดินในจ.เชียงใหม่ เมื่อตรวจสอบรายได้พบว่านายเกษมมีรายได้ตามแบบประเมินภาษีปี 2556 อยู่ที่ 817,556 บาทเศษ ส่วนปี 2557 มีรายได้ 664,480 บาท นางดวงสุดา มีรายได้ปี 2556 อยู่ที่ 1,370,000 บาทเศษ ปี 2557 มีรายได้ 1,157,000 บาทเศษ เมื่อรวมรายได้ของทั้งสองคนแล้วไม่เพียงพอที่จะซื้อที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าว อีกทั้งไม่มีข้อมูลที่นายเกษมและนางดวงสุภาถอนเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค การซื้อที่ดินจึงไม่ปรากฏเส้นทางการเงินของนายเกษม จึงฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรองนายกอบจ.เชียงใหม่

เช่นเดียวกับเงินลงทุนในการซื้อหุ้นบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของนางดวงสุดา จำนวน 61,838,310 หุ้น มูลค่าขณะได้มาหุ้นละ 0.15 บาท คิดมูลค่ารวม 9,275,746.50 บาท เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ เนื่องจากนำเงินที่ใช้หมุนเวียนซื้อขายหุ้นบริษัทวินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งศาลฏีกาฯ เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จึงเป็นกรณีที่นำทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ไปแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นหรือจากการซื้อหุ้นอื่น มีผลให้หุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ. เชียงใหม่ ไม่ใช่กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าเป็นการนำเงินในบัญชีหมุนเวียนของรอบครัวมาซื้อ

พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11777 และเลขที่ 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่  ของผู้ถูกกล่าวหากับหุ้น บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของ นางดวงสุดา คู่สมรส ของผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 61,838,310 หุ้น ซึ่งซื้อมาในราคา 9,275,746.50 บาท ที่ฝากไว้กับ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.4,38 และหากไม่บังคับคดีตามพิพากษาได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วน ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ แต่ทั้งนี้ราคาที่ดิน 2 แปลง ต้องไม่เกินกว่า 11,865,000 บาท และราคาหุ้นมูลค่าต้องไม่เกินกว่า  9,275,746.50 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ.2542 ม.83

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายเกษมไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีเพียงทนายความที่มาฟังคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้แทน ซึ่งทนายความ ระบุว่า ตามกฎหมายใหม่สามารถยื่นอุทธรณ์คดีได้ แต่ทั้งนี้ต้องสอบถามนายเกษมอีกครั้งว่าติดใจคำพิพากษาในส่วนใดบ้าง

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2560 นายเกษมก็ถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 12 เดือน ไม่รอลงอาญา ซึ่งขณะนี้นายเกษมได้รับโทษครบตามกำหนดแล้ว จากคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นให้ศาลวินิจฉัยว่านายเกษมจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับเงินกู้ยืม, เงินการขายหุ้นบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียลพาร์ค จำกัด (มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) รวมมูลค่า 74 ล้านบาทเศษ ในช่วงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่, ส.ส.เชียงใหม่, รองนายก อบจ.เชียงใหม่ ซึ่งนอกจากโทษจำคุกแล้ว ศาลยังห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีด้วย นับจากวันที่ 5 ต.ค. 2558 ซึ่งนายเกษมพ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ขณะเดียวกันจากกรณีดังกล่าว ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินของนายเกษมและคู่สมรสรวม 168 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย เนื่องจากนายเกษมมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติรวม 8 รายการ