"สมชัย"กลับพีเนตลุยเลือกตั้ง ยันไม่ถอนตัวชิงเลขาฯกกต.

"สมชัย" นัดเปิดใจปม ถูกปลด 23 มี.ค.ลั่นยังพูดเหมือนเดิม พ่วงลุยตรวจสอบการเลือกตั้งเข้มข้นขึ้น ด้าน พท.แขวะบิ๊กตู่ตรวจทับซ้อนตัวเอง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจ ม.44 สั่งให้ยุติการทำหน้าที่ว่า หลังจากพ้นการเป็น กกต.ก็จะไปทำงานที่มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย(พีเนต) และหลังจากนี้การแสดงความคิดเห็นเต็มที่เหมือนเดิมและจะขยายขอบเขตได้มากขึ้น

"หลังเก็บของเสร็จในวันศุกร์ที่ 23 มี.ค.นี้ จะเปิดใจอีกครั้ง  แต่เบื้องต้นภรรยาดีใจมากหลังทราบคำสั่ง เพราะก่อนหน้านี้ อยากให้ยุติการทำหน้าที่ กกต. ส่วนการร้องศาลนั้นยังไม่คิด" นายสมชัย กล่าว

สำหรับในส่วนการทำงานของ กกต.นั้นยืนยันว่าแม้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง ก็ไม่กระทบเพราะมี 4 คน ก็ทำงานได้ และ กกต.ทุกคนก็มีความรู้ความสามารถ ฉะนั้นโรดแมปไม่เคลื่อนอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ กกต.คิดว่า คำสั่ง คสช.ไม่ได้มีผลทำให้ขาดคุณสมบัติในการสมัคร และก็ไม่ได้ถอนตัว

ทั้งนี้ หลังนายสมชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก็ได้พบกับนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่นัด รวมพลเพื่อร่วมก่อตั้งพรรคเกรียน โดย นายสมบัติ ได้ชวน นายสมชัย เข้าร่วมพรรคเกรียน โดยให้เหตุผลว่าเพราะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับพรรคเกรียน  ซึ่ง นายสมชัย ได้ตอบสั้นๆ ว่า ไม่รีบเข้าพรรคการเมืองไหน ขอคิดก่อน

ด้าน นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่มีคำสั่งปลดนายสมชัย แต่การให้เหตุผลว่ามีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น นายกฯ ก็ต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองด้วยว่าได้กระทำสิ่งที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเองหรือไม่

นอกจากนี้ กกต.เอง ก็เป็นองค์กรอิสระที่ทาง คสช.ไม่ได้แต่งตั้งขึ้น และยังเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการจัดการเลือกตั้ง ดังนั้น คสช.จึงอยากเลือกคนที่มีความใกล้ชิดเข้ามาทำหน้าที่มากกว่า จึงเป็นที่มาของการเซตซีโร่ กกต.

"ก่อนที่จะสอนคนอื่น นายกฯ ควรกลับไปสอนตนเองก่อนว่ารับหน้าที่หัวหน้า คสช.แล้วมีคนมาขอให้สืบทอดอำนาจ และยังบริหารงานในตำแหน่งนายกฯ สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่" นายวัฒนา กล่าว

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวว่า การปลดนายสมชัย กระทบต่อขวัญและกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระ ต่อไปนี้ประเทศไทยคงไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นต่างออกมา