posttoday

อัยการไม่ฟ้อง24ผู้ชุมนุมอยากเลือกตั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

10 มีนาคม 2561

อัยการเจ้าของสำนวนสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ชุมนุมอยากเลือกตั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะรออัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดในชั้นสุดท้าย

อัยการเจ้าของสำนวนสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ชุมนุมอยากเลือกตั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะรออัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดในชั้นสุดท้าย

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.61 นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า กรณีที่อัยการศาลแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง 24 ผู้ต้องหาที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ที่จัดกิจกรรมรวมพลประชาชนคนอยากเลือกตั้ง บริเวณสกายวอล์คแยกปทุมวัน ใกล้ห้างสรรพสินค้า MBK เมื่อวันที่ 27 ม.ค.61 ได้ตรวจสอบข้อมูลทราบว่าอัยการเจ้าของสำนวนคือนายเกริกเกียรติ รัฐนวธรรม ได้พิจารณาสำนวนที่มีการตั้งข้อหาผู้ต้องหา 33 คน แยกคดีแกนนำ 9 คน ไปฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว

ส่วนคดีที่ฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวันมีผู้ต้องหา24 คน ซึ่งถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืน คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558ข้อ12 เรื่องชุมนุมเกิน 5 คนในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมฯ อัยการเจ้าของสำนวนพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.แต่ก็ยังเห็นว่าการชุมนุมดังกล่าวหากฟ้องไปจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ 9 มี.ค.61 โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 วรรคสอง ประกอบกับระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ พ.ศ.2554 แต่อย่างไรก็ตามการสั่งคดีดังกล่าวยังมีขั้นตอนปฏิบัติที่จะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นเสนอสำนวนผ่านอธิบดีอัยการคดีศาลแขวง และอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคนสุดท้ายตามขั้นตอน
         
"คดีที่พนักงานอัยการเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 วรรคสอง ให้มีอำนาจที่จะสั่งไม่ฟ้องคดีได้ ตามกฎหมาย พ.ร.บ.อัยการฯใหม่ปี 2553 ระบุไว้ชัดเจนว่า ความผิดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนี้จะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีอีกครั้ง หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งคดีอย่างไรก็ถือเป็นที่สิ้นสุด เรื่องนี้ก็มีอยู่ก่อนแล้วในระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ 2547 เรื่องการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเนื้อหาจะมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่มาเขียนให้ชัดเจนขึ้นในปี 2553"รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าว