posttoday

"อรรถวิชช์"ชี้ถ้าไม่มี"ลุงกำนัน"จำนำข้าวคงทำลายชาติ-เสียสละอยากเห็นประเทศดีขึ้น

30 มกราคม 2561

อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ บอกหากไม่มี สุเทพ "โครงการทุจริตจำนำข้าว" คงทำลายชาติ และ "ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย" คงเป็นผล

อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ บอกหากไม่มี สุเทพ "โครงการทุจริตจำนำข้าว" คงทำลายชาติ และ "ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย" คงเป็นผล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า หากไม่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เเละ กปปส. "โครงการทุจริตจำนำข้าว" คงทำลายชาติเราต่อไป และ "ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย" คงเป็นผลไปแล้ว สิ่งที่ทุกคนทำไปเพราะต้องการเห็นประเทศชาติดีขึ้น มีการปฏิรูปประเทศไทย

เนื้อหาทั้งหมดระบุว่า

ถ้าไม่มี 'ลุงกำนัน'

เกือบ 4 ปีแล้ว ที่การชุมนุมทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยได้สิ้นสุดลง... เวลา อาจทำให้ภาพเลือนราง แต่สำหรับผมแล้ว เหมือน เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

แม้งานด้านการปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลปัจจุบันทำ จะไม่ถูกใจเรานัก แต่เมื่อคิดมองย้อนกลับไปเทียบกับสถานการณ์การเมืองก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 "รัฐบาล คสช."ก็ยังดีกว่า "รัฐบาลเผด็จการเสียงข้างมาก"อยู่มาก ผมจึงอยากชวนคิดกันว่า หากวันนั้นไม่มีการชุมนุม กปปส. หากประชาชนพี่น้องเราและคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เสียสละความสุขสบายในวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

"โครงการทุจริตจำนำข้าว" คงทำลายชาติเราต่อไป

หากได้เดินหน้าโครงการแบบปล่อยปละละเลยต่อไปจนถึงตอนนี้ ประเทศจะต้องขาดทุนเสียหายไม่น้อยกว่า 7.7 แสนล้านบาท หากอ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีรับจำนำข้าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ระบุชัดว่าโครงการรับจำนำข้าว 5 ฤดูกาลผลิตติดต่อกัน ระหว่างปี 2554 จนถึงกลางปี 2556 รายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ระบุว่าขาดทุนไปแล้วถึง 332,372 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วขาดทุนเสียหาย ปีละ 110,000 ล้านบาท ถ้าทำต่อเนื่องตั้งแต่วันที่อดีตนายกฯเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบันในปี 2561 เป็นเวลา 7 ปี ยอดความเสียหายคงตกราวๆ 7.7 แสนล้าน

หากมาดูถึงความเสียหายเชิงระบบที่เกิดจากการทุจริต ในกรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จากการทำสัญญาขายข้าวกับบริษัทของจีนโดยอ้างว่าเป็นการ ซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ เพราะจะขายถูก ขายลับ ได้หมด ถ้าอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ เนื่องจากปกติแล้วจะใช้ในกรณีที่ต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ หรือเพื่อช่วยเหลือกันในกรณีต่างชาติประสบภัยพิบัติสำคัญ แต่ในกรณีของรัฐบาลที่แล้วที่เป็นคดีกันนั้น ทำไปก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา หรือการประมูลแข่งกันทั่วไปแบบเปิดเผย โดยในความเป็นจริงไม่มีการส่งออกข้าวไปขายยังประเทศจีน แต่เป็นการขายข้าวแก่พ่อค้าคนไทยเพื่อนำมาวนขายในประเทศอีกทีหนึ่งในราคาขายจริงต่ำกว่าราคาตลาด จนทำให้ข้าวราคาตกต่ำ และแน่นอนว่าทำให้นโยบาย ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่อ้างว่าจะชี้นำราคาข้าวเปลือก ในตลาดให้สูงที่ 15,000 บาทต่อเกวียนนั้น ไม่สำเร็จ แม้จะเสียภาษีจากประชาชนไปเท่าไรก็ตาม เพราะทางที่รั่วออกคือข้าวสารสีแล้ว ได้ออกมาขายถูกๆ แข่งกับชาวนาในตลาด

บริษัทรัฐวิสาหกิจจีนระดับมณฑลที่พยายามจะหามาให้เข้าเงื่อนไขกฎหมาย ชื่อ จีเอสเอสจี ซึ่งย่อมาจาก Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp. แปลว่า บริษัท กวางตุ้ง ส่งออกนำเข้า "เครื่องเขียน และอุปกรณ์กีฬา" ชัดเจนทั้งชื่อและคุณสมบัติที่ไร้ใบอนุญาตนำเข้าข้าวไปจีน เพราะรัฐวิสาหกิจที่นำเข้าข้าวเข้าจีนได้ชื่อ "คอฟโก้" China National Cereals, Oil and Foodstuff Import Export Corporation (COFCO) รัฐวิสาหกิจการค้าภาครัฐที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ธัญพืชของประเทศจีน

ที่เจ็บแสนเจ็บ คือเมื่อไม่ขายทั่วไป วงเงินใช้จ่ายเพื่อจำนำข้าวก็เต็มวงเงิน เงินไม่พอมาหมุนจ่ายให้ชาวนาได้ ประกอบกับชิงยุบสภาไปก่อน เลยไม่สามารถดำเนินการ ด้านงบประมาณได้อีก จนเป็นเหตุให้เกษตรกรหลายคนฆ่าตัวตายหลายราย ไม่ได้เป็นเพราะ กปปส.ไปชุมนุมที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) แต่กลับกัน หากวันนั้นพลิกนำเงิน ธ.ก.ส. ไปใช้ได้ แล้วพืชผลอย่างอื่นที่ธ.ก.ส.ไปช่วย จะเอาเงินจากไหนจ่ายให้เกษตรกรอื่นๆ

"ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย" คงเป็นผลไปแล้ว

ในขณะนั้นหลายฝ่ายต้องการสร้างความปรองดองในบ้านเมือง ด้วยการออกกฎหมายล้างผิดให้กับผู้ชุมนุมทางการเมือง จนเป็นเหตุให้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในเดือนสิงหาคม 2556 แต่ในเวลาต่อมาก็มีการแปรญัตติเปลี่ยนข้อความให้ล้างผิดทุกกรณีย้อนหลังไปถึงปี 2547 เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาคดีทุจริต พี่ชายของนายกฯยิ่งลักษณ์ ได้รับอานิสงส์ไปด้วย กลายเป็นหนังคนละม้วนไป

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นชนวนก่อให้เกิดการชุมนุม กปปส. การชุมนุมครั้งใหญ่ทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่นักการเมืองยอมลาออกจากตำแหน่งสส. เพื่อมาสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชนอย่าง เต็มตัว จนสุดท้ายวุฒิสภาก็ได้มีมติเอกฉันท์ไม่เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย ฉบับนี้

"ผมคิดว่าจำเลยในคดีนี้สมควรมีเฉพาะพวกผม 9 คน เพราะพวกผม 9 คนนี้ เป็นผู้ที่ริเริ่มชักชวนพี่น้องประชาชนออกมาร่วมขบวนการต่อสู้ และเป็นผู้ที่ยืนเคียงข้างกับประชาชนในการต่อสู้มาโดยตลอด 204 วัน ผู้ต้องหาคนอื่นเป็นเพียงผู้มาร่วมในการชุมนุม"

คำพูดของลูกผู้ชายชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณกำนันแห่ง กปปส. เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 วันที่อัยการส่งฟ้องต่อศาลอาญาในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ จากการชุมนุมเคลื่อนไหวของ กปปส. เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ละเมิดกฎหมายในขณะนั้น ซึ่งในกระบวนการทางคดีแล้ว ยังมีระยะเวลาต่อสู้คดีอีกระยะหนึ่ง เพราะเพิ่งส่งฟ้องคดีกันไป

แม้จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ลุงกำนันก็พร้อมยืดอกรับผิดชอบแทนพี่น้องที่ขึ้นเวทีและประชาชนผู้ร่วมชุมนุม โดยเชื่อมั่นและเคารพในกระบวนการยุติธรรม พร้อมต่อสู้คดีในทุกขั้นตอน และเชื่อว่าผลที่เกิดขึ้นในวันนี้คุ้มค่าแล้ว พร้อมกับคำพูดว่า "ภาคภูมิใจที่ได้เป็นกำลังของมวลมหาประชาชน ต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน"

ส่วนตัวผมแล้ว ก็ขออยู่เคียงข้างและให้กำลังใจแกนนำทุกท่านในการต่อสู้คดี และยืนยันว่าการชุมนุม กปปส. ที่เกิดขึ้นมาจากเจตนาบริสุทธิ์โดยแท้จริงเช่นเดียวกันคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 18 ธันวาคม 2556 ด้วยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่า การชุมนุม กปปส. เป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง

แม้วันนี้บ้านเมืองจะอยู่ภายใต้การบริหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ได้เป็นการปฏิรูปประเทศโดยประชาชนอย่างแท้จริงตามที่ กปปส. คาดหวังไว้ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1.) ปฏิรูปกระบวนการทางการเมือง 2.) ปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 3.) ปฏิรูปการกระจาย อำนาจการปกครอง 4.) ปฏิรูปความเหลื่อมล้ำในสังคม และ 5.) ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่หลายแนวคิดก็ได้แทรกซึมอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้มี "หมวดการปฏิรูปประเทศ" เป็นการเฉพาะ รอคอยผู้กล้ามาปฏิบัติการสู่การปฏิรูปจริง

วันนี้ หลายคนยอมเสียสละความสุขสบาย ยอมเสียคนที่เค้ารัก ยอมเสี่ยงต่อการสูญเสียอิสรภาพ เพราะอยากเห็นประเทศไทยที่ดีขึ้น "ปฏิรูปประเทศไทย!"