เจ๊ากับเจ๊ง
นโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารชาติเป็นผู้ดูแล กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์มากยิ่งขึ้น
นโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารชาติเป็นผู้ดูแล กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์มากยิ่งขึ้น
แน่นอน ปฐมเหตุก็สืบเนื่องมาจากปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งโป๊กอย่างรวดเร็ว และไปอยู่ที่ระดับ 29 บาทเศษๆ ให้เห็นแล้ว
เสียงวิจารณ์ที่ดังมากขึ้น เกิดในทำนองว่าธนาคารชาติควรเข้ามาแทรกแซงค่าเงินหรือยัง
แต่ทว่าอีกด้าน บทเรียนจากมาตรการคุมค่าเงิน 30% สมัยรัฐบาลขิงแก่ ก็ทำให้เกิดอาการหัวหดกลัวขี้อ่อนขี้แก่กัน เพราะเกรงว่าหากมียาแรงคุมค่าเงินจะกระทบกับตลาดหุ้นและเงินทุนจากต่างประเทศ
เรียกว่าจะขยับซ้าย ขยับขวา ก็เหนื่อยทั้งนั้น
ดังนั้น มาตรการอื่นๆ ที่ใช้ดูแลค่าเงินจึงถูกมองและถกเถียงเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหวังไม่ให้เงินบาทแข็งตัว
ที่กำลังเป็นประเด็นก็คือ นโยบายดอกเบี้ย เพราะตั้งแต่ต้นปีธงที่ธนาคารชาติปักธงส่งสัญญาณมาตลอดก็คือต้องขึ้นดอกเบี้ยเสียที
เหตุผลของธนาคารชาติก็คือ เศรษฐกิจกำลังเติบโต และสิ่งที่ตามมาคือปัญหาเงินเฟ้อ หรือของแพง ซึ่งหากปล่อยให้เศรษฐกิจเติบโตมากเกินจะเกิดปัญหาฟองสบู่ตามมา
ธนาคารชาติจึงต้องการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และคุมกลิ่นอายฟองสบู่
แต่การขึ้นดอกเบี้ยส่งผลข้างเคียงเช่นกัน เพราะเป็นหนึ่งในองค์ประกอบทำให้ค่าเงินบาทแข็ง
สาเหตุเนื่องจากเมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ย ก็เท่ากับเชื้อเชิญให้เงินทุนไหลเข้ามาในประเทศ มาแสวงหากำไรทั้งจากอัตราดอกเบี้ย เป็นของแถมนอกจากการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดหุ้น
ยิ่งขึ้นดอกเบี้ยมากเท่าใด ค่าเงินบาทก็มีทิศทางจะแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเงาตาม
หลายประเทศจึงใช้มาตรการดอกเบี้ยแก้ปัญหาค่าเงิน ที่เกิดขึ้นหมาดๆ ญี่ปุ่นลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0% พร้อมๆ กับตั้งกองทุนมูลค่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อมาแก้ปัญหาค่าเงินแข็ง
ภาคเอกชน และท่าทีของรัฐบาลไทยเลยกลายเป็นตาเขียวจ้องเขม็ง สะกิดธนาคารชาติ โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายการเงินกนง. ที่เป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย
ประเด็นสำคัญก็คือ ควรจะคิดกันให้ตก เงินบาทแข็งกับของแพง ปัญหาอะไรมันใหญ่กว่ากัน และสิ่งใดควรจะต้องแก้ไขก่อนหรือหลัง
งานนี้จะตัดสินใจอะไรก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะไม่ว่าจะขยับซ้ายหรือขวา ให้ยาขนาดใด มันจะมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น
งานนี้จึงมีแต่เจ๊ากับเจ๊งเท่านั้นที่รออยู่