posttoday

สนช.ผ่านกฎหมายถวายความปลอดภัย 3 วาระรวด

08 ธันวาคม 2560

มติสนช.ผ่านกฎหมายถวายความปลอดภัย 3 วาระรวด ปรับแก้ให้อำนาจ ราชเลขานุการ และเป็นไปตามพระราชประสงค์

มติสนช.ผ่านกฎหมายถวายความปลอดภัย 3 วาระรวด ปรับแก้ให้อำนาจ ราชเลขานุการ และเป็นไปตามพระราชประสงค์

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อพิจารณาวาระร่างพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ....คณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า หลักการของร่างพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย คือเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการถวายความปลอดภัยฉบับเดิม คือ พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2557 สาเหตุที่ระยะเวลาผ่านไป 3 ปี แล้วต้องมาขอปรับปรุงโดยการยกเลิกฉบับเดิมแล้วใช้ฉบับใหม่นั้น เพราะเหตุว่าเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว ต่อมาได้มีการออกกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ และบุคลากรหรือข้าราชการในพระองค์เสียใหม่ ซึ่งสภาฯก็ได้ให้ความเห็นชอบพ.ร.บ.ดังกล่าว และได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาตามความในพ.ร.บ.นั้นไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดย่อมกลับไปกระทบพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2557

นายวิษณุ กล่าวต่อว่า หลักการสำคัญที่ปรากฏในร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นการไปเปลี่ยนแปลงหลักการเดิมที่อยู่ในพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2557 ในประเด็นสำคัญ 4 ประเด็น คือ 1.ได้แก้ไขคำว่าความปลอดภัย ให้ขยายออกไปนอกเหนือจากการถวายความปลอดภัยหรือถวายอารักขาธรรมดา มีเรื่องของการถวายพระเกียรติด้วย  ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องจัดกระบวนงานต่างๆ ให้สอดคล้องกัน เพื่อประโยชน์ในการถวายพระเกียรติมากกว่า  เพราเหตุว่ามีภัยหรือภยันอันตรายก็จะอนุโลมเข้าไปอยู่ในคำว่าการถวายความปลอดภัย

2.เดิมการถวายความปลอดภัยนั้นจะทำในรูปของคณะกรรมการ โดยมีสมุหราชองครักษ์เป็นประธาน มีราชเลขาธิการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ และมีตำแหน่งที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เป็นคณะกรรมการ แต่หลักการใหม่ที่เสนอมาวันนี้ ได้ยกเลิกระบบคณะกรรมการดังกล่าว  เปลี่ยนเป็นให้การดำเนินการทั้งหมด อยู่ภายใต้การกำกับ และบังคับบัญชาของราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ส่วนที่จะไปตั้งคณะกรรมการขึ้นอย่างไรหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องที่ราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์จะไปดำเนินการกันโดยการออกประกาศระเบียบภายในไม่ต้องปรากฏเป็นบทบังคับอยู่ในตัวพ.ร.บ.ดังกฎหมายฉบับเดิม

3.ในขณะที่พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัยพ.ศ.2557 แบ่งสัดส่วนความรับผิดชอบในการถวายความปลอดภัย ส่วนหนึ่งจะอยู่ที่สมุหราชองครักษ์ อีกส่วนจะอยู่ที่เลขาธิการพระราชวัง และในกรณีเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศก็อาจจะต้องมีหน่วยอื่น เช่นกรมราชองครักษ์ และกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่หลักการในกฎหมายใหม่ที่เสนอมาได้รื้อระบบเหล่านี้ทั้งหมด เปลี่ยนแปลงเป็นว่าทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การกำกับการบังคับบัญชา การวางแผน และการดำเนินการโดยราชเลขานุการในพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ส่วนที่จะมีการแบ่งส่วนงานภายในอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องที่ราชเลขานุการในพระองค์ไปกำหนด โดยจะไม่เกี่ยวข้องกับสมุหราชองครักษ์ หรือเลขาธิการพระราชวังต่อไป

ทั้งนี้จะได้สอดคล้องกับการจัดโครงสร้างของสำนักพระราชวังและหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยที่ได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายใหม่

และ4. ขณะที่กฎหมายเก่ามีบางเรื่องไปผูกพันกับตำแหน่งการเมืองของนายกรัฐมนตรี เช่น การวางระเบียบใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน ซึ่งถูกต้องเหมาะสมในกาลสมัยครั้งนั้น เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง แต่ตามโครงสร้างใหม่ ตามกฎหมายใหม่ ตามรัฐธรรมนูญใหม่ นายกฯ ไม่ได้มามีส่วนรับผิดชอบในส่วนนี้อีกต่อไป ก็จำเป็นต้องตัดบทบาทของนายกฯออก และทั้งหมดจะไปปรากฏในเนื้อความที่เขียนว่า "ให้ดำเนินการไปตามพระราชประสงค์ และถ้ามีเรื่องอย่างก็เป็นเรื่องที่ราชเลขานุการในพระองค์จะนำความกราบบังคมทูลเพื่อขอรับพระราชวินิจฉัยต่อไป"

หลักการใหม่ 4ประการนี้ด้วยเหตุที่เป็นการไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายเดิมมากจึงจำเป็นต้องยกเลิกกฎหมายเดิมนั้น แล้วยกร่างขึ้นเป็นฉบับใหม่ มีเนื้อความทั้งหมด 9 มาตรา นอกจากนั้น ถ้อยคำ ภาษา หรือแม้แต่หลักการปลีกย่อยอย่างอื่น ยังเป็นไปตามแนวทางเดิม จึงขอเสนอเพื่อให้สภาได้โปรดพิจารณา 

จากนั้น เป็นการลงมติรับหลักการในวาระแรก โดยที่ประชุมเห็นด้วยด้วยคะแนน  192  ไม่เห็นด้วย 1 งดออกเสียง 3 และตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาขึ้นมาพิจารณา โดยไม่มีสมาชิกคนใดอภิปรายในวาระ 2 และลงมติเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนน  189  ไม่เห็นด้วย 1 งดออกเสียง 4 ทำให้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายสมชาย แสวงการ เลขาฯวิปสนช. ได้ขอแก้ไขคะแนนทั้งในวาระรับหลักการและวาระ 3 ว่า ในส่วนคะแนนที่ไม่เห็นด้วย 1 คะแนนเป็นเพราะในวาระแรกผู้ที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยไปต่างประเทศ และเกิดการขัดข้องจากเครื่องกดบัตร ส่วนในวาระ 3 นั้นเกิดจากเครื่องกดบัตรลงคะแนนขัดข้อง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดไม่เห็นด้วย คะแนนในวาระแรก เป็น193 งดออกเสียง 3 และวาระ 3 จึงเป็น 190  ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 คือ ประธานสนช.และรองประธานสนช.ทั้ง 2 คน