posttoday

สนช.รับหลักการวาระ1ร่างกฎหมายป.ป.ช.

02 พฤศจิกายน 2560

สนช.รับหลักการร่างกฎหมายป.ป.ช. "พัชรวาท-จักรทิพย์"ร่วมนั่งกรรมาธิการ เปิดทางตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น

สนช.รับหลักการร่างกฎหมายป.ป.ช. "พัชรวาท-จักรทิพย์"ร่วมนั่งกรรมาธิการ เปิดทางตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกกฉันท์ 200 คะแนนรับหลักการในวาระที่ 1 แห่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้เสนอ พร้อมกับตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 35 คนเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ

สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการฯที่น่าสนใจ อาทิ นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการป.ป.ช. พล.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้ามาร่วมทำหน้าที่กรรมาธิการฯด้วย       

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.กล่าวระหว่างการเสนอร่างกฎหมายต่อที่ประชุมสนช.ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรม เช่น การกำหนดระยะเวลาการไต่สวนของป.ป.ช. ซึ่งกรธ.คิดว่าควรไม่เกิน 2 ปี แต่สามารถต่อเวลา ถึงกระนั้นหากมีกรณีที่ไต่สวนเกินเวลาขึ้นมาจริงๆ ป.ป.ช.ก็ยังมีอำนาจในการตรวจสอบคดีดังกล่าวอยู่ เพียงแต่ป.ป.ช.ต้องไปตรวจสอบว่าเกิดปัญหาอะไรที่ทำให้ป.ป.ช.ทำการไต่สวนไม่เสร็จตามกำหนดเวลา โดยต้องแจ้งให้กับประชาชนทราบด้วย

นายมีชัย กล่าวว่า ขณะที่การตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของป.ป.ช.นั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้กรณีที่ของกรรมการป.ป.ช.กระทำความผิด สมาชิกรัฐสภาสามารถเข้าชื่อต่อศาลฎีกาให้ไต่สวนได้ แต่สำหรับกรณีของเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.กระทำผิดเสียเอง จะเป็นหน้าที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แต่สตง.ไม่มีอำนาจหน้าที่ชี้ขาด เพราะจะให้คณะกรรมการป.ป.ช.วินิจฉัยในชั้นสุดท้าย ซึ่งคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องไปพิจารณาในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ

ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว คือ มาตรา 7 การกำหนดให้การดำเนินคดีตามกฎหมายฉบับนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลย ถ้าจำเลยหลบหนีระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ ไม่ให้นำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 ว่าด้วยอายุความมาใช้บังคับ

ขณะเดียวกัน นอกเหนือไปจากอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตและการใช้อำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอยู่เดิมแล้ว ปรากฏว่ามาตรา 31 ยังกำหนดให้ป.ป.ช.มีหน้าที่เสนอมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือ องค์กรอัยการ ในการเสนอแนะให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ และเมื่อองค์กรใดได้รับแจ้งแล้ว หากไม่อาจดำเนินการได้ให้แจ้งปัญหาและอุปสรรคต่อป.ป.ช.ให้ทราบต่อไปภายใน 3 เดือนนับแต่ได้รับแจ้งจากป.ป.ช.

เช่นเดียวกับ มาตรา 34 ซึ่งบัญญัติป.ป.ช.โดยมีมติไม่น้อยกว่า2ใน3 สามารถมีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานรัฐและคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการดำเนินการอย่างใดของหน่วยงานของรัฐที่อาจนำไปสู่การทุจริตหรือส่อว่าอาจมีการทุจริต ในกรณีเช่นนี้หน่วยงานของรัฐและคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามควรแก่กรณีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐ และต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป เว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความลับของทางราชการ

การใช้อำนาจหน้าที่ไต่สวนของป.ป.ช. มาตรา 47 บัญญัติให้ป.ป.ช.ต้องดำเนินการโดยพลัน และต้องไต่สวนพร้อมกับวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันที่เริ่มดำเนินการ แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจดำเนินการได้เสร็จภายใน 1 ปี ป.ป.ช.อาจขยายเวลาออกไปอีกตามที่จำเป็นแต่ต้องไม่เกิน 2 ปี เว้นแต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเดินทางไปไต่สวนในต่างประเทศ หรือขอให้หน่วยงานของต่างประเทศดำเนินการไต่สวนให้ หรือ ขอรับเอกสารหลักฐานจากต่างประเทศ จะขยายระยะเวลาออกเท่าที่จำเป็นก็ได้

ส่วนบทเฉพาะกาลในมาตรา 178 กำหนดให้คณะกรรมการป.ป.ช.ชุดปัจจุบันที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ยังคงอยู่ในตำแหน่งไปได้จนกว่าจะครบวาระตามที่กำหนดในกฎหมาย