posttoday

ชงสนช.ตั้งกมธ.ร่วมแก้ "ไพรมารี่โหวต"

18 กรกฎาคม 2560

กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอสนช.ตั้งกมธ.ร่วมแก้ไพรมารี่โหวต พบ 5 ปัญหาสำคัญ เลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมและขัดรธน.

กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอสนช.ตั้งกมธ.ร่วมแก้ไพรมารี่โหวต พบ 5 ปัญหาสำคัญ เลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมและขัดรธน.

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 20 ก.ค.มีวาระเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองร่วมกัน 3 ฝ่ายระหว่างสนช. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตามมาตรา 267 วรรค 5 ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 โดยกรธ.ได้เสนอเหตุผลที่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการฯมายังสนช.จำนวน 5 ข้อ ดังนี้

1.การพิจารณาบทบัญญัติใดแห่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวประกอบกับบทบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองตามมาตรา 258 ก. (1) ของรัฐธรรมนูญ อันแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนว่าประสงค์ให้การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองเป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน

2.เมื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่สนช.ลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว กรธ.เห็นว่ากระบวนการให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถตามมาตรา 50 และ 51 ของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  อาจมีกรณีที่ทำให้กระบวนการนั้นเป็นไปโดยไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมขึ้นได้ เนื่องจากไม่มีมาตรการจัดการกับทุจริตในชั้นการประชุมสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดเพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง กรธ.จึงเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวยังไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่มุ่งหมายให้มีการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ

3.การที่มาตรา 51 (4) แห่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมืองต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งลำดับที่หนึ่งในบัญชีรายชื่อเท่านั้น เป็นบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อหัวหน้าพรรคการเมืองโดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองไม่สามารลงสมัครรับเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ทั้งที่เป็นสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐานของบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมือง

4.กรณีมาตรา 35 ประกอบกับมาตรา 50 และมาตรา 51 กำหนดให้จังหวัดที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรคการเมือง ต้องมีสมาชิกในทุกเขตเลือกตั้งมาประชุมไม่น้อยกว่า 50 คน เพื่อให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งนั้น ทำให้พรรคการเมืองที่ยังมีสมาชิกในเขตเลือกตั้งไม่ถึงจำนวนดังกล่าวไม่ว่าเพราะเหตุใดไม่สามารถจัดให้สมาชิกเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งนั้นได้และไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นได้ ย่อมเป็นการตัดสิทธิพรรคการเมืองไม่ให้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และกระทบต่อหลักการของรัฐธรรมนูญที่มุ่งหมายให้ทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีความหมายต่อการเลือกตั้ง บทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

5.การที่มาตรา 138 แห่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองบัญญัติว่าในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกที่มีขึ้นภายหลังจากวันที่พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ หากพรรคการเมืองใดได้จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดไว้แล้วในจังหวัดใด ให้พรรคการเมืองนั้นสามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ทุกเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้น ทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งขึ้นก่อนวันที่ร่างพ.ร.บ.นี้ใช้บังคับได้เปรียบพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นหลังวันที่ร่างพ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ บทบัญญัติดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 27 วรรคสามของรัฐธรรมนูญ

สำหรับรายชื่อบุคคลที่จะมาทำหน้าที่กรรมาธิการวิสามัญฯจำนวน 11 คน แบ่งเป็นตัวแทนจากกกต. 1 คน  คือ นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ตัวแทนสนช.จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายกล้านรงค์ จันทิก นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ ด้าน ตัวแทนกรธ.5 คน ได้แก่ นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง นายอุดม รัฐอมฤต นายภัทระ คำพิทักษ์ นายนรชิต สิงหเสนี และ นายประพันธ์ นัยโกวิท