รองนายกฯยันไม่มีการแจ้งเตือนระเบิดภูเก็ต-กระบี่-พังงา
บิ๊กป้อมยันไม่มีการแจ้งเตือนระเบิดภูเก็ต-กระบี่-พังงา เผยมีการคุมตัวผู้เกี่ยวข้องระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ
บิ๊กป้อมยันไม่มีการแจ้งเตือนระเบิดภูเก็ต-กระบี่-พังงา เผยมีการคุมตัวผู้เกี่ยวข้องระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถึงกรณีมีการแชร์ภาพเอกสารที่อ้างว่าเป็นการแจ้งเตือนให้ระวังการก่อเหตุระเบิดในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ,กระบี่ และพังงา โดยพล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทย ไม่มีการออกหนังสือแจ้งเตือน
"กรมการปกครองไม่เคยออกหนังสือแจ้งเตือนแบบนั้น ผมยืนยันดูแลอยู่ ดูแลทั้งประเทศ แม้แต่กรณี ระเบิด โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า นั้น เราติดตามได้เยอะ มีการคุมตัว มีหลายพวก แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะความขัดแย้งภายในโรงพยาบาล โดยครั้งนี้ค่อนข้างแน่ใจว่าจะได้ตัวผู้ก่อเหตุ"พล.อ.ประวิตรกล่าว
วันเดียวกันที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และ เลขาธิการคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า พล.อ.เฉลิมชัย ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ให้ครบทั้งการจัดกำลังทั้งในและนอกเครื่องแบบออกปฏิบัติงาน รวมถึงการใช้ระบบกล้องวงจรปิดและระบบไฟฟ้าส่องสว่าง เพื่อป้องปรามการก่อเหตุอันไม่พึงประสงค์และให้การดูแลประชาชนรวมถึงพื้นที่มีความรัดกุมที่สุด
นอกจากนี้ให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย เร่งจัดระบบในเรื่องการสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนในการเป็นหูเป็นตา และระมัดระวังภัย เพื่อเสริมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตามในงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องการกวาดล้างอาวุธสงคราม ยังคงเป็นเรื่องที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จะต้องเร่งดำเนินการในทุกพื้นที่
พล.อ.เฉลิมชัย กำชับให้ใช้มาตรการด้านการข่าวอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติที่ชัดเจน ในขณะเดียวกันให้ดำเนินการตรวจค้นอย่างเหมาะสม สุภาพ
ทั้งนี้การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จะมุ่งเน้นในเรื่องการดูแลความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ
ในตอนท้ายการประชุม พล.อ.เฉลิมชัย ได้ปรารภถึงการปฏิบัติงานของทุกส่วน โดยเฉพาะภารกิจการบังคับใช้และป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย รวมถึงภารกิจการจัดระเบียบพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปพบปะหรือสัมผัสกับประชาชนโดยตรง ขอได้ใช้ดุลพินิจอย่างรอบด้านในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว คำนึงถึงผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ
ที่สำคัญการดำเนินงานทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย บนพื้นฐานของการใช้อำนาจหน้าที่อย่างมีเหตุมีผล และการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน เพื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาล ยังคงเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาได้รับความไว้วางใจและความร่วมมือจากประชาชนเหมือนเดิมต่อไป