posttoday

สนช.-สมาชิกทำกฎหมายลูกต้องยึดบทเฉพาะกาล

20 พฤษภาคม 2560

พรเพชร ยันสนช.พิจารณาร่างพรบ.ประกอบ รธน. คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ สอดคล้องกับหลักการของรธน.

พรเพชร  ยันสนช.พิจารณาร่างพรบ.ประกอบ รธน. คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ สอดคล้องกับหลักการของรธน.

เมื่อวันที่ 20 พ.ค. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดเสวนาเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ....” ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมนิว แทรเวิล ลอด์จ จ.จันทบุรี

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวตอนหนึ่งว่า หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 263 วรรคหนึ่ง สนช.ยังคงทำหน้าที่แทนสส. และสว. เพื่อพิจารณาตรากฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายลูกจำนวน 10 ฉบับ ขณะนี้ สนช.ได้ลงมติรับหลักการพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต. และ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองในวาระหนึ่ง

ทั้งนี้ สนช.มีเวลาพิจารณากฎหมายแต่ละฉบับในเวลา 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 16 มิ.ย. ดังนั้น เพื่อให้ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่จะผ่านความเห็นชอบสนช. ต้องสอดคล้องเชื่อมโยง และเป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ถือเป็นครั้งแรกที่สมาชิกสนช.จะได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ แตกต่างจาก พ.ร.บ.ปกติธรรมดา ที่ได้ทำมาในเวลา 2 ปีเศษ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าไปดูกระบวนการตามปกติในระบบรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมารวมถึงรัฐธรรมนูญใหม่ จะเห็นได้ว่า ร่างพ.ร.บ.ธรรมดา คือ ระบบรัฐสภาประกอบด้วย ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยที่ความสัมพันธ์ระบบรัฐสภา รัฐบาลต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอกฎหมายหรือร่างพ.ร.บ.ต่อสภาได้ และเสียงข้างมากนั้นก็สนับสนุนกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาโดยทั้งสิ้น

ขณะที่ฝ่ายค้านนั้น กฎหมายก็ได้กำหนดให้ฝ่ายค้านร่วมเป็นคณะกมธ.ได้ตามสัดส่วน แม้ระบบประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างไรเสียงข้างมากต้องฟังเสียงข้างน้อย เพื่อให้กฎหมายบังคับใช้กับประชาชนอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น ในร่างพ.ร.บ.ทั่วไป การพิจารณาก็จะเน้นไปเรื่องนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก พรรคการเมืองสนับสนุนอย่างใดก็ต้องเดินหน้าไปตามนั้น

ส่วน สนช.นั้น มีที่มาแตกต่างกัน เพราะไม่มีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ดังนั้นในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ของสนช. จึงเป็นไปในลักษณะจะตรวจดู พิจารณาว่าร่างพ.ร.บ.ที่รัฐเสนอมานั้นมีหลักการหรือมีเหตุผลที่เหมาะสมอย่างไร สมควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ เนื่องจาก สนช.มีความสัมพันธ์กับรัฐบาล ทำให้ร่างกฎหมายของสนช.ต้องทำไปตามหลักการร่างพ.ร.บ. คือ ขอความเห็นชอบรัฐบาล
“วันนี้มีร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญบทหลักในมาตรา 130 เป็นต้นไป ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญกำหนดบทเฉพาะกาลสำหรับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ไว้ในมาตรา 267  ถ้าถามว่าบทเฉพาะกาลและบทหลักอันไหนปฏิบัติ ในหลักกฎหมาย คือ บทเฉพาะกาลต้องมาก่อนบทหลัก เพราะมีผลบังคับ ดังนั้น การพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญต้องปฏิบัติตามมาตรา 267 ก่อน หากมีปัญหา จึงต้องย้อนกลับไปดูมาตรา 130 เป็นหลักการที่จะดูว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้นๆ จะมีความพิเศษอย่างไร”นายพรเพชร กล่าว

2.การพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ในบทหลักเสนอต่อรัฐสภา โดยจำนวนเสียงให้ความเห็นชอบจะต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ตามามาตรา130 (1) ไม่ได้เขียนในบทเฉพาะกาล ซึ่งต้องนำมาใช้ ส่วนใน (2)  แสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่า ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบังคับใช้ ซึ่งถ้ามาตรา 267 จะไม่มีกระบวนให้ส่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ แต่กำหนดไว้ว่า หากมีความขัดแย้งกันจะแจ้งสนช. และตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่วม และมาตรา 167 ให้ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ในฐานะเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ หรือกกต.ในฐานะองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกทุกฉบับ สนช.จะต้องส่งกลับไปยังกรธ.ด้วย

สำหรับมาตรา 267 มียกเว้นหรือแตกต่างจากบทหลัก เพราะบทหลักใช้กับพ.ร.บ.ในกรณีอื่นๆ ไม่ใช่กรณีบทเฉพาะกาลที่ใช้กับสนช.ในขณะนี้ ดังนั้น บทเฉาะกาลมาตรา 267 สนช.จึงส่งร่างกฎหมายเพียง 2  องค์กร และถ้าไม่ตรงตามเจตนารมณ์ กรธ.จะแจ้งมาประธานสนช. และต้องตั้งกมธ.ร่วมภายใน 10 วัน นับแต่วันที่รับร่างสนช. โดยกมธ.วิสามัญมีจำนวน 11 คน ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกฎหมายนั้นเข้าร่วมด้วย

“เท่ากับว่าเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยกรธ. องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ต้องตั้งกมธ.ร่วม ถ้าการพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร ก็เสนอต่อสนช. แต่ถ้ามีมติไม่เห็นด้วยกับกมธ.ร่วม ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 มิเช่นนั้น ถือว่าดำเนินการไปตามความเห็นของกมธ.ร่วม”ประธาน สนช. ระบุ

อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตมีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ต้องมีการดำเนินการให้เป็นไปเพื่อกกกฎหมายของประเทศ ไม่ดำเนินการเพื่อองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากร่างกฎหมายลูกเกิดปัญหา มีทางออก คือ ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ โดยมี 2 ช่องทาง คือ กรณีที่กฎหมายลูกยังไม่ไดลงปรมาภิไธย และ 2. กฎหมายประกาศใช้แล้ว แต่ละช่องทางมีกระบวนการเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น มาตรา148 ระบุว่า ก่อนนายกรัฐมนตรีนำพ.ร.บ.ใดขึ้นทูลเกล้าฯ

โดยตามมาตรา 81 (1)  สส. สว. หรือสมาชิกสองสภาฯไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภาฯลงความเห็นว่า พ.ร.บ.มีความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้เสนอต่อประธานทั้ง 2 สภา จากนั้นให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งนายกฯให้ทราบ

ขณะที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. คนที่ 1 ในฐานะประธานกมธ.สามัญพิจารณาศึกษาฯ บรรยายสรุปภาพรวมตามบทเฉพาะกาล มาตรา 267 ว่าด้วยการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยกระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มีกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ 2 ข้อ คือ ตามมาตรา 267 และในบทถาวร มาตรา 130-132 ที่กำหนดคะแนนลงมติเห็นชอบต้องมีคะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ จะครบกำหนดในวันที่ 16  มิ.ย. นี้  ส่วนคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ที่จะต้องร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับ ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่วันประกาศรัฐธรรมนูญ หรือครบกำหนดวันที่ 1 ธ.ค. หรือเป็นวันที่กรธ.จะส่งฉบับสุดท้ายให้สนช.

ทั้งนี้ เมื่อผ่านกระบวนการของคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และที่ประชุมสนช.ให้ความเห็นชอบในวาระสามเรียบร้อยแล้ว จะยังประกาศใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าจะต้องส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และกรธ.ด้วย แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าสนช.จะต้องส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในกี่วัน ซึ่งความเห็นส่วนตัวคิดว่าควรยึดบทถาวรของรัฐธรรมนูญ คือ 15 วัน 

อย่างไรก็ตาม เมื่อส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแล้วไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องพิจารณาตรวจสอบเพื่อทำความเห็นกลับมาภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างว่าตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าตรงถือว่าจบ และส่งให้นายกฯเพื่อรอทูลเกล้าฯ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์ จะต้องตั้งกมธ.ร่วมเพื่อพิจารณา ซึ่งบทเฉพาะกาลก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องตั้งภายในกี่วัน ขึ้นอยู่กับสนช. ภายใน 15 วันต้องเสนอต่อสนช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ

นายสุรชัย กล่าวต่อว่า ถ้าสนช.มีมติไม่ถึง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ถือว่าเป็นอันตกไป ซึ่งบทเฉพาะกาลเขียนทิ้งไว้แค่นี้ โดยไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นคนเขียนต่อไป เป็นโจทย์ที่รออยู่ข้างหน้า ในกระบวนการส่งให้นายกฯ เพื่อรอการทูลเกล้าฯ คือ มาตรา 145 และมาตรา 148 ต้องรอ 5 วัน เพื่อดูว่ามีประเด็นปัญหาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยบุคคลที่จะยื่นเรื่องต่อศาล คือ นายกฯ หรือสมาชิกสนช. 1ใน10 เข้าชื่อกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น สมาชิกต้องระวังเรื่องกระบวนการพิจารณาอาจถูกทักท้วงให้ตรวจสอบได้

“กระบวนการที่จะตรวจสอบมีหนึ่งกระบวนการที่เป็นของใหม่กำหนดไว้ คือ มาตรา 77  ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมกังวล และฝากกมธ.ไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยขอความกรุณาตรวจสอบตามมาตรา 77 จะเป็นการดี การพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 10 ฉับ เกี่ยวข้องกับมาตรา 77 แม้มาตรา 267 ไม่ได้กำหนดไว้ แต่เราก็ต้องยึดบทถาวรรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยต้องเปิดเผยต่อประชาชน อย่างน้อยต้องลงเว็บไซด์ให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้ “รองประธาน สนช.คนที่ 1 ระบุ

ขณะเดียวกัน จะต้องนำข้อต่างๆที่กล่าวไว้ข้างต้นนำมาประกอบการพิจารณาทุกขั้นตอน ทว่า คำถาม คือ ขณะพิจารณาทำตามขั้นตอนหรือยัง ถ้ายังควรกลับไปทำ รวมทั้งการเขียนรายงาน เจ้าหน้าที่จะต้องไม่เขียนรูปแบบเดิมๆ ต้องแจกแจงขั้นตอนในกระบวนการทั้งหมด