สนช.-สมาชิกทำกฎหมายลูกต้องยึดบทเฉพาะกาล
พรเพชร ยันสนช.พิจารณาร่างพรบ.ประกอบ รธน. คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ สอดคล้องกับหลักการของรธน.
พรเพชร ยันสนช.พิจารณาร่างพรบ.ประกอบ รธน. คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ สอดคล้องกับหลักการของรธน.
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดเสวนาเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ....” ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมนิว แทรเวิล ลอด์จ จ.จันทบุรี
ทั้งนี้ สนช.มีเวลาพิจารณากฎหมายแต่ละฉบับในเวลา 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 16 มิ.ย. ดังนั้น เพื่อให้ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่จะผ่านความเห็นชอบสนช. ต้องสอดคล้องเชื่อมโยง และเป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดี ถือเป็นครั้งแรกที่สมาชิกสนช.จะได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ แตกต่างจาก พ.ร.บ.ปกติธรรมดา ที่ได้ทำมาในเวลา 2 ปีเศษ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าไปดูกระบวนการตามปกติในระบบรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมารวมถึงรัฐธรรมนูญใหม่ จะเห็นได้ว่า ร่างพ.ร.บ.ธรรมดา คือ ระบบรัฐสภาประกอบด้วย ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยที่ความสัมพันธ์ระบบรัฐสภา รัฐบาลต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอกฎหมายหรือร่างพ.ร.บ.ต่อสภาได้ และเสียงข้างมากนั้นก็สนับสนุนกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาโดยทั้งสิ้น
ขณะที่ฝ่ายค้านนั้น กฎหมายก็ได้กำหนดให้ฝ่ายค้านร่วมเป็นคณะกมธ.ได้ตามสัดส่วน แม้ระบบประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างไรเสียงข้างมากต้องฟังเสียงข้างน้อย เพื่อให้กฎหมายบังคับใช้กับประชาชนอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น ในร่างพ.ร.บ.ทั่วไป การพิจารณาก็จะเน้นไปเรื่องนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก พรรคการเมืองสนับสนุนอย่างใดก็ต้องเดินหน้าไปตามนั้น
2.การพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ในบทหลักเสนอต่อรัฐสภา โดยจำนวนเสียงให้ความเห็นชอบจะต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ตามามาตรา130 (1) ไม่ได้เขียนในบทเฉพาะกาล ซึ่งต้องนำมาใช้ ส่วนใน (2) แสดงเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่า ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบังคับใช้ ซึ่งถ้ามาตรา 267 จะไม่มีกระบวนให้ส่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ แต่กำหนดไว้ว่า หากมีความขัดแย้งกันจะแจ้งสนช. และตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่วม และมาตรา 167 ให้ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ในฐานะเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ หรือกกต.ในฐานะองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกทุกฉบับ สนช.จะต้องส่งกลับไปยังกรธ.ด้วย
สำหรับมาตรา 267 มียกเว้นหรือแตกต่างจากบทหลัก เพราะบทหลักใช้กับพ.ร.บ.ในกรณีอื่นๆ ไม่ใช่กรณีบทเฉพาะกาลที่ใช้กับสนช.ในขณะนี้ ดังนั้น บทเฉาะกาลมาตรา 267 สนช.จึงส่งร่างกฎหมายเพียง 2 องค์กร และถ้าไม่ตรงตามเจตนารมณ์ กรธ.จะแจ้งมาประธานสนช. และต้องตั้งกมธ.ร่วมภายใน 10 วัน นับแต่วันที่รับร่างสนช. โดยกมธ.วิสามัญมีจำนวน 11 คน ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกฎหมายนั้นเข้าร่วมด้วย
“เท่ากับว่าเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยกรธ. องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ต้องตั้งกมธ.ร่วม ถ้าการพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร ก็เสนอต่อสนช. แต่ถ้ามีมติไม่เห็นด้วยกับกมธ.ร่วม ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 มิเช่นนั้น ถือว่าดำเนินการไปตามความเห็นของกมธ.ร่วม”ประธาน สนช. ระบุ
โดยตามมาตรา 81 (1) สส. สว. หรือสมาชิกสองสภาฯไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภาฯลงความเห็นว่า พ.ร.บ.มีความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้เสนอต่อประธานทั้ง 2 สภา จากนั้นให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยและแจ้งนายกฯให้ทราบ
ขณะที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. คนที่ 1 ในฐานะประธานกมธ.สามัญพิจารณาศึกษาฯ บรรยายสรุปภาพรวมตามบทเฉพาะกาล มาตรา 267 ว่าด้วยการจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยกระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มีกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ 2 ข้อ คือ ตามมาตรา 267 และในบทถาวร มาตรา 130-132 ที่กำหนดคะแนนลงมติเห็นชอบต้องมีคะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ร่างพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ จะครบกำหนดในวันที่ 16 มิ.ย. นี้ ส่วนคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ที่จะต้องร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับ ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่วันประกาศรัฐธรรมนูญ หรือครบกำหนดวันที่ 1 ธ.ค. หรือเป็นวันที่กรธ.จะส่งฉบับสุดท้ายให้สนช.
ทั้งนี้ เมื่อผ่านกระบวนการของคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และที่ประชุมสนช.ให้ความเห็นชอบในวาระสามเรียบร้อยแล้ว จะยังประกาศใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าจะต้องส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และกรธ.ด้วย แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าสนช.จะต้องส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในกี่วัน ซึ่งความเห็นส่วนตัวคิดว่าควรยึดบทถาวรของรัฐธรรมนูญ คือ 15 วัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญแล้วไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องพิจารณาตรวจสอบเพื่อทำความเห็นกลับมาภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างว่าตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าตรงถือว่าจบ และส่งให้นายกฯเพื่อรอทูลเกล้าฯ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์ จะต้องตั้งกมธ.ร่วมเพื่อพิจารณา ซึ่งบทเฉพาะกาลก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องตั้งภายในกี่วัน ขึ้นอยู่กับสนช. ภายใน 15 วันต้องเสนอต่อสนช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า ถ้าสนช.มีมติไม่ถึง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ถือว่าเป็นอันตกไป ซึ่งบทเฉพาะกาลเขียนทิ้งไว้แค่นี้ โดยไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นคนเขียนต่อไป เป็นโจทย์ที่รออยู่ข้างหน้า ในกระบวนการส่งให้นายกฯ เพื่อรอการทูลเกล้าฯ คือ มาตรา 145 และมาตรา 148 ต้องรอ 5 วัน เพื่อดูว่ามีประเด็นปัญหาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยบุคคลที่จะยื่นเรื่องต่อศาล คือ นายกฯ หรือสมาชิกสนช. 1ใน10 เข้าชื่อกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น สมาชิกต้องระวังเรื่องกระบวนการพิจารณาอาจถูกทักท้วงให้ตรวจสอบได้
“กระบวนการที่จะตรวจสอบมีหนึ่งกระบวนการที่เป็นของใหม่กำหนดไว้ คือ มาตรา 77 ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมกังวล และฝากกมธ.ไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยขอความกรุณาตรวจสอบตามมาตรา 77 จะเป็นการดี การพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 10 ฉับ เกี่ยวข้องกับมาตรา 77 แม้มาตรา 267 ไม่ได้กำหนดไว้ แต่เราก็ต้องยึดบทถาวรรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยต้องเปิดเผยต่อประชาชน อย่างน้อยต้องลงเว็บไซด์ให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้ “รองประธาน สนช.คนที่ 1 ระบุ
ขณะเดียวกัน จะต้องนำข้อต่างๆที่กล่าวไว้ข้างต้นนำมาประกอบการพิจารณาทุกขั้นตอน ทว่า คำถาม คือ ขณะพิจารณาทำตามขั้นตอนหรือยัง ถ้ายังควรกลับไปทำ รวมทั้งการเขียนรายงาน เจ้าหน้าที่จะต้องไม่เขียนรูปแบบเดิมๆ ต้องแจกแจงขั้นตอนในกระบวนการทั้งหมด