นายกฯกำชับทุกกระทรวงใช้จ่ายงบต้องเข้าถึงประชาชน
นายกฯกำชับทุกกระทรวงใช้จ่ายงบประมาณลงพื้นที่เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด โครงการไหนพร้อมให้ดำเนินการได้ทันทีตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นายกฯกำชับทุกกระทรวงใช้จ่ายงบประมาณลงพื้นที่เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด โครงการไหนพร้อมให้ดำเนินการได้ทันทีตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
เมื่อวันที่5พ.ค.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์นี้ ได้กำชับให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน และได้มีการใช้จ่ายงบประมาณในแผนงานโครงการต่างๆ ของหน่วยทั้ง ระยะสั้นและระยะยาว ให้ลงไปสู่พื้นที่ เข้าถึงพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยแผนงานโครงการระยะยาวเรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้ในปีนี้ ก็ให้เริ่มดำเนินการทันที เพื่อให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป และเห็นผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กำหนด
สำหรับโครงการระยะสั้น และเร่งด่วน หลายโครงการ ก็ได้เห็นผลสัมฤทธิ์แล้ว ซึ่งได้ชี้แจงให้พี่น้องประชาชนรับทราบเป็นระยะๆ ทุกสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น การปฎิรูประบบสาธารณสุขทุกมิติ การบังคับใช้กฏหมาย การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยสำหรับสัปดาห์นี้ ขอชี้แจงผลงานของรัฐบาลในด้านอื่น ๆ ดังนี้
1.การบริหารจัดการที่ดินและผืนป่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาสามารถดำเนินการทวงคืนผืนป่าได้แล้วจำนวน กว่า 349,000 ไร่ ฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ จำนวนกว่า 212,498 ไร่ นอกจากนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติ มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาช่วยเหลือในการวิเคราะห์ และติดตามผลการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับศูนย์ปฏิบัติการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, เหล่าทัพ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และฝ่ายปกครองอื่น ๆ ด้วย
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เร่งให้มีการบูรณาการระหว่างของกระทรวงต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยรัฐบาลได้จัดหาที่ดิน และอนุญาตให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข แต่ไม่สามารถเรียกร้องให้รัฐออกเอกสารสิทธิ เช่น โฉนดที่ดิน ให้ได้ในภายหลัง โดยรัฐบาลได้ดำเนินการบริหารจัดการใน 5 ประเภทที่ดิน ได้แก่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ปฏิรูปที่ดิน พื้นที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่ป่าชายเลน และพื้นที่ราชพัสดุ
ในปี 2558 – 2560 ที่ผ่านมา, การดำเนินงานมีความก้าวหน้าไปพอควรนะครับ ต้องใช้เวลา ต้องมีการเดินสำรวจ ตรวจสอบแผนที่อะไรเยอะแยะนะครับ แล้วก็คัดแยก คัดกรองประชาชน เพราะฉะนั้นอาจจะดูเหมือนช้าเกินไปนะครับ แต่จำเป็นจริงๆ นะครับ ได้ มีการจัดหาที่ดินในพื้นที่เป้าหมายทั้งสิ้นกว่า 680,000 ไร่ ใน 203 พื้นที่ รวม 64 จังหวัด และได้มีการจัดพี่น้องประชาชนลงในพื้นที่แล้วทั้งสิ้น 70 พื้นที่ ใน 43 จังหวัด ซึ่งถือเป็นการจัดการที่ดินทั้งหมดมากกว่า 27,000 แปลง รวม 170,000 ไร่ ให้กับเกษตรกรทั้งสิ้น 21,681 ราย ทั่วประเทศนะครับ ซึ่งไม่เพียงพอนะครับ ต้องทำต่อไปนะครับตามเวลาที่มีอยู่ แล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ นอกจากเรื่องที่ดินทำกินแล้ว รัฐบาลยังดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปด้วยนะครับ
ทั้งนี้ รัฐบาลยังจะเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายนะครับ และบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดิน เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับพื้นที่และรายได้ของพี่น้องประชาชนอีกด้วย วันนี้ สิ่งที่สำคัญคือต้องแก้ปัญหาการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด หรืออื่นๆ นะครับ จะต้องไม่ปลูกในพื้นที่บุกรุกอีกต่อไป ตลาดจะต้องไม่รับซื้อผลผลิตที่ผิดกฎหมาย ผมขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจเอกชนด้วยนะครับ
2. การบริหารจัดการน้ำ ประเทศไทยย่างเข้าฤดูฝนแล้ว ในปีนี้ได้รับรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปี 2560 มกราคม ถึง เมษายน เรามีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มากกว่าปีที่แล้วร้อยละ 13 แต่เราก็ไม่อาจวางใจได้
เพราะคาดว่าทั้งปี ปริมาณฝนรวมของทั้งฤดูฝนจะต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีแผนการจัดสรรน้ำสำหรับฤดูฝนปีนี้เอาไว้แล้ว ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์น้ำในแต่ละห้วงเวลา รวมถึงความจำเป็นในแต่ละพื้นที่ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เพียงพอตลอดทั้งปี
เรื่องน้ำ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ได้ดำเนินการมาโดยตลอด เช่น
(1) การพัฒนาระบบประปาหมู่บ้าน ซึ่งตั้งแต่ปี 2557-2560 ทำไปแล้วรวม 6,309 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 84 ของเป้าหมาย รวมทั้งการหาแหล่งน้ำในพื้นที่ ด้วยการดำเนินการขุดบ่อ ขุดสระ และสร้างฝายทดแทนอีก 100 หมู่บ้าน
(2) การพัฒนาน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์ได้ 235 ล้านลูกบาศ์กเมตร
(3) การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรที่ทำแล้วสามารถเพิ่มความจุได้ 2,069.30 ล้านลูกบาศ์กเมตร คิดเป็นร้อยละ 25 ของเป้าหมายระยะยาว
(4) โครงการบูรณาการการขุดลอกแหล่งน้ำ จำนวน 1,267 รายการ ในปี 2559 ใช้งบประมาณกว่า 1,513 ล้านบาทปัจจุบันได้รับรายงานว่าดำเนินการไปแล้วร้อยละ 88.57 ของเป้าหมาย
นอกจากนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการในการรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำ การควบคุมการใช้น้ำ การบริหารจัดการน้ำ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพัฒนา การคุ้มครอง ฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหา น้ำท่วมและน้ำขาดแคลน
การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในลุ่มน้ำ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำในระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ รวมทั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ ซึ่งเราต้องใช้งบประมาณ และใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ต้องซ่อมแซมของเดิมที่ชำรุด ทั้งสร้างใหม่ด้วย แล้วก็มีการจัดทำระบบส่งน้ำเพิ่มเติมนะครับ บางที่ไม่สมบูรณ์นะครับ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้ยั่งยืน
3.การปรับโครงสร้างเกษตร คนไทยเป็นเกษตรกรกว่า 11 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งหมด การสร้างความเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก รัฐบาลจึงได้ดำเนินโครงการเพื่อการปรับโครงสร้างภาคการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เช่น
(1) การวางแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจร ตั้งแต่การขยายการรวมกลุ่มเพื่อทำนาแปลงใหญ่ ลดต้นทุนการผลิต การปรับเปลี่ยนแปลงข้าวอินทรีย์ และพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากข้าว
4.ระบบประกันสังคม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้มีการสร้างโอกาส ความเสมอภาค เท่าเทียมกันทางสังคม
โดยกระทรวงแรงงานได้มีการปฏิรูปการให้บริการทางการแพทย์ให้เหมาะสม ทั่วถึง และมีคุณภาพ ได้มีการเพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตนเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทั่วไป ผลการดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 16 มีนาคม 2560 สรุปได้ดังนี้
(1) โรงพยาบาลที่ให้บริการตรวจสุขภาพแก่ผู้ประกันตนทั้งหมด 176 แห่ง (คิดเป็นร้อยละ 73.64) แยกเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล 105 แห่ง (คิดเป็นร้อยละ 66) โรงพยาบาลเอกชน 71 แห่ง (คิดเป็นร้อยละ 88.75
โดยมีหลักเกณฑ์กำหนดไว้ เช่น มีระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) มีระบบนัดหมายก่อนเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ มีจุดคัดกรองโดยการซักประวัติผู้ประกันตน และมีป้ายแสดงขั้นตอนการเข้ารับบริการตรวจสุขภาพและป้องกันโรคที่ชัดเจน เป็นต้น
สำหรับผู้พิการ รัฐบาลมุ่งที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อให้ออกสู่สังคม และดำรงชีวิตได้อย่างอิสระมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา ได้มีการเพิ่มอัตราเบี้ยความพิการจากเดิม 500 บาทเป็น 800 บาทต่อคนต่อเดือน และในปี 2560 นี้ คาดว่าจะดูแลผู้พิการได้เกือบ 1.5 ล้านรายทั่วประเทศ คิดเป็นวงเงิน 14,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเพิ่มเงินกู้ยืมกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการจาก 40,000 บาท เป็น 60,000 บาท เพื่อสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพด้านอาชีพและการศึกษาของผู้พิการ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน รวมถึงสนับสนุนให้คนพิการมีรายได้อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมให้มีการจ้างงานผู้พิการในสถานประกอบการกว่า 40,000 ราย
6.การจัดระเบียบขอทาน คนไร้ที่พึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา พบคนไร้ที่พึ่ง 302 ราย และคนขอทานจำนวนทั้งสิ้น 161 ราย แบ่งเป็นชาวไทย 66 ราย และต่างด้าว 95 ราย
สาเหตุหลักมาจากปัญหารายได้ไม่เพียงพอ เจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ และไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งได้มีการให้ความช่วยเหลือโดยเข้ารับความคุ้มครองเพื่อฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพชีวิต 234 ราย ประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาล สถานคุ้มครองตามกฎหมายเฉพาะ 58 ราย ประสานส่งคืนครอบครัว 76 ราย
7.การส่งเสริม SMEs ประเทศไทยมี SMEs ทั้งสิ้นเกือบ 3 ล้านกิจการ และหากนับรวมวิสาหกิจรายย่อยด้วย ก็จะมีถึง 5 ล้านกิจการ โดยเพียงแค่ SMEs กลุ่มเดียว ก็ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศถึง 10 ล้านคน และมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของรายได้ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเลยนะครับ
ในเรื่องนี้ บทบาทสำคัญของภาครัฐก็คือการสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้ SMEs เหล่านี้ ดำเนินงานและปรับตัวภายใต้สภาวะแวดล้อมของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างราบรื่น ในปีนี้ กองทุนเพื่อ SMEs ในแนวทางประชารัฐ จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีวงเงิน 35,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 9,000 ราย และรักษาการจ้างงานไว้ได้กว่า 72,000 คน
นอกจากการให้สินเชื่อสนับสนุนแล้ว ยังใช้หลัก “พี่ช่วยน้อง” ให้ธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการปรับปรุงสินค้าและบริการ มีการใช้อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) มาช่วยในการนำผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรจากพื้นที่ห่างไกล ไปสู่ผู้บริโภคที่มีกาลังซื้อในเมือง
ทั้งนี้ เราหวังจะให้มีผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงรายย่อยรายใหม่ ๆ ได้กระจายไปยังพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัดอย่างทั่วถึง ช่วยให้คนรุ่นใหม่กลับไปทำธุรกิจในภูมิลำเนา ลดการแออัดในเมืองใหญ่และสร้างความเจริญในท้องถิ่น และช่วยเหลือ SMEs ภาคการเกษตร การท่องเที่ยว และภาคบริการที่นับวันจะเติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย นะครับ
8.การบริหารจัดการข้าราชการรุ่นใหม่ และการจัดหาบุคลากร สำหรับการปฏิรูประบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนั้น ต้องสรรหาคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถและสมรรถนะสูงเข้ามาสู่ระบบราชการ โดย ครม. มีมติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ให้สำนักงาน กพ. และ สำนักงาน กพร. ไปปรับปรุงแนวทางการสร้างแรงจูงใจ
การให้ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและความเชี่ยวชาญ และพัฒนาบุคลากรภาครัฐในทุกระดับให้ได้รับความรู้ความสามารถและความเข้าใจให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการปรับรูปแบบการดำเนินการของภาครัฐในลักษณะของประชารัฐ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการทำงานได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ข้าราชการทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ต้องตระหนักถึงความจำเป็นและความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปประเทศ ซึ่งผมขอให้เร่งรัดการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น โดยมุ่งเน้นกิจกรรมการระดมความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ เพื่อการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญต่าง ๆ
ประกอบด้วยหลักสูตรการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ที่ดำเนินการไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และหลักสูตรการสร้างผู้นำแห่งการบริหารการเปลี่ยนแปลง สำหรับข้าราชการระดับสูง เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าใจต่อภาวะแวดล้อมใหม่ ในการบริหารราชการ ตามกรอบของ ป.ย.ป. สร้างแรงบันดาลใจ และศักยภาพความเป็นผู้นำ
ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาล เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
หากเป็นไปได้ ผมอยากให้ภาครัฐซื้อสินค้าและบริการจากนวัตกรรมของผู้ผลิตไทยที่ได้มาตรฐานเหล่านี้ ในสัดส่วนร้อยละ 30 ของงบประมาณที่จะซื้อทั้งหมด เพื่อที่เราจะได้ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย สร้างโอกาส ให้ต่อยอดทางธุรกิจบนพื้นฐานการพัฒนานวัตกรรมตามแนวนโยบายที่จะขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0 หน่วยงานสามารถตรวจสอบรายชื่อได้จาก website ของสำนักงบประมาณ ด้วยนะครับ
สำหรับการพัฒนาศักยภาพการวิจัยของอาจารย์รุ่นใหม่ และสนับสนุนทุนส่งเสริมนักวิจัยรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2557 รัฐบาล โดยคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้สนับสนุนทุนการวิจัยไป แล้ว 3,260 ทุน เป็นเงินงบประมาณรวม 1,323 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มการลงทุนวิจัย และการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และนักวิจัยให้เพียงพอ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
10.ด้านต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับประเทศต่างๆ ล้วนพัฒนาขึ้นตามลำดับ ตามที่ผมได้กล่าวแล้วข้างต้น ทุกประเทศเข้าใจสถานการณ์ในประเทศของเรา และพร้อมที่จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือในด้านต่างๆ กับเราในทุกมิติ