รองปลัดยธ.แจงโยกรองอธิบดีดีเอสไปไปสำนักนายกฯเพื่อช่วยราชการ

ย้ายรองอธิบดีดีเอสไอไปสำนักปลัด สำนักนายกฯ รองปลัดยธ.แจงเป็นการขอให้ไปช่วยราชการ ไม่ได้ทำผิดวินัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามคำสั่งที่ 536/2559 เรื่องให้โอนข้าราชการพลเรือนสามัญ ไปยังสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 ราย ทั้งนี้ในคำสั่งระบุว่า เนื่องด้วยสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับโอนข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงยุติธรรม ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 16 / 2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558

ทั้งนี้ ข้าราชการพลเรือน  3 ราย ประกอบ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.ท.ชิณโชติ พุฒิวรรธาดา ผู้บัญชาการสำนักพัฒนาและสนับสนุนคดีพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษ

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตนเพิ่งทราบ และยืนยันจะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เหมือนเดิม

ด้านนายธวัชชัย เปิดเผยว่า เรื่องการโอนย้ายข้าราชการดีเอสไอ 3 ราย เนื่องจากทางสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามมายังกระทรวงยุติธรรมจะขอเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 รายมาช่วยงาน ทางกระทรวงยุติธรรมก็ไม่ขัดข้อง ก่อนมีการเซ็นโอนย้ายขาดจากดีเอสไอไปสังกัดสำนักปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี โดยตนอยู่ระหว่างการทำหน้าที่รักษาการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม เลยเซ็นคำสั่งไปเมื่อวานนี้  และมีการส่งหนังสือตามระเบียบขั้นตอนราชการ

"การโอนย้ายครั้งนี้เป็นการขอให้ไปช่วยงานราชการ ไม่ใช่โอนย้ายเพราะมีความผิดทางวินัย หรืออื่นๆ หากมีความผิดจริง เรื่องต้องเข้าที่ประชุม ศอตช. และต้องโดนโยกย้าย โดยใช้ ม.44" นายธวัชชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ มีบทบาทในคดีปราบปราบการทุจริต รวมถึงยังเป็นมือปราบพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ เจ้าสำนักวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ จนมีการดำเนินในหลายข้อหา ล่าสุดอยู่ระหว่างการติดต่อกับทางสหรัฐอเมริกาในการส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย  นอกจากนี้ทำคดีทุจริตกรณีจัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องนันทนาการและออกกำลังกายกลางแจ้งของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างปี 2555-2557 ด้วย

ขณะที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ มือทำคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่มีมูลค่าเสียหายหลายหมื่นล้านบาท จนสามารถดำเนินคดีกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร พร้อมเครือข่ายได้จำนวนมาก และติดตามทรัพย์สินกลับมาคืนให้กับประชาชนได้