posttoday

ตอกฝาโลง 'ยึดทรัพย์' ระวังอาฟเตอร์ช็อกป่วนเมือง

12 สิงหาคม 2553

ปิดฉากกระบวนการยึดทรัพย์ 4.63 หมื่นล้านบาท ของ “ทักษิณ ชินวัตร” แบบเบ็ดเสร็จ หมดช่องทางโต้แย้งอีกต่อไป หลังจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีมติ 103 ต่อ 4 เสียง ไม่รับอุทธรณ์ ตามข้อโต้แย้งที่ทีมทนายความงัดขึ้นมาต่อสู้

ปิดฉากกระบวนการยึดทรัพย์ 4.63 หมื่นล้านบาท ของ “ทักษิณ ชินวัตร” แบบเบ็ดเสร็จ หมดช่องทางโต้แย้งอีกต่อไป หลังจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีมติ 103 ต่อ 4 เสียง ไม่รับอุทธรณ์ ตามข้อโต้แย้งที่ทีมทนายความงัดขึ้นมาต่อสู้

โดย....ทีมข่าวการเมือง

ตอกฝาโลง 'ยึดทรัพย์' ระวังอาฟเตอร์ช็อกป่วนเมือง

ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของทักษิณ ที่เคยฝากความหวังไว้กับช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 278 ซึ่งเปิดทางให้โต้แย้งคำวินิจฉัยตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยเงื่อนไขสำคัญว่าต้องมี “หลักฐานใหม่” จึงจบสิ้นบริบูรณ์

ทีมทนายทักษิณได้งัด 5 ประเด็นใหม่ออกมาโต้แย้ง

1.หนังสือจากการไปรษณีย์และการสื่อสารของพม่า ยืนยันว่าเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ไม่เกี่ยวข้องกับทักษิณ หรือเอื้อประโยชน์ตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

2.หนังสือจากบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ชี้แจงว่าการที่ดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่มีซีแบนด์ก็ไม่กระทบสัญญาสัมปทาน และไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง

3.การที่ศาลฎีกายอมรับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ และมีผลเหนือรัฐธรรมนูญ ผิดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีสมาชิก

4.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นการออก พ.ร.ก.สรรพสามิต แสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาต้องผูกพัน จะพิพากษาแย้งไม่ได้

5.การอ้างอิงบทความทางวิชาการ ที่มีความเห็นต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา

สุดท้ายที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีความเห็นแบบไม่เหนือความคาดหมาย ว่าคำร้อง 5 ข้อเหล่านี้ ไม่ถือเป็น “หลักฐานใหม่” และไม่รับคำอุทธรณ์

ขั้นตอนต่อจากนี้จึงเป็นเรื่องของกระบวนการตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น และเงินปันผลจำนวน 4.63 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

เงินจำนวนนี้ซึ่งกระจายอยู่ในชื่อบัญชีของทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร “พานทองแท้แพทองธารยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ รอแค่การกดปุ่มโอนเข้าคลังหลวงเท่านั้น

ทักษิณรู้ว่า เป็นเรื่องยากที่จะชนะหรืออุทธรณ์สู้คดีได้ สะท้อนผ่านที่เจ้าตัวและบิ๊กเสื้อแดงออกมาโจมตีกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่องว่า พึ่งหวังไม่ได้ ถูกแทรกแซง

แต่น่าแปลกที่ทักษิณยังขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมในไทย มาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองและเงินก้อนนี้

นั่นเพราะทักษิณขอให้ประตูคดียึดทรัพย์เปิดแง้มไว้ ไม่ปิดตายลงกลอน เผื่อจะเป็นช่องทางให้อุทธรณ์ รื้อคดีทวงทรัพย์ 4.63 หมื่นล้านบาทคืน

โดยอาศัยม็อบเสื้อแดงเดินเกมกดดันที่ผ่านฟ้าราชประสงค์ เพื่อเปลี่ยนอำนาจรัฐ

เป็นแรงกดดันคู่ขนานพร้อมกับการอุทธรณ์คดียึดทรัพย์

เป็นความเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์ “แก้ว 3 ประการ” ผนึกกำลังในสภา ควบคู่นอกสภาของม็อบเสื้อแดง และการขับเคลื่อนใต้ดินหวังให้เกิดพลังกดดันจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพลิกขั้วรัฐบาล

หากชนะ การเมืองเปลี่ยนขั้วก็หวังว่า คดีความต่างๆ จะเปลี่ยนตาม

ทว่าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คาด...

การเพลี่ยงพล้ำของแกนนำเสื้อแดง ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองเริ่มออกอาการระส่ำระสาย จากปัญหาเอกภาพภายในพรรค จนมีกระแสสส.ไหลออก

เมื่อมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์จึงเป็นการ “ตอกฝาโลง” ปิดเกมการยึดทรัพย์ นอกจากจะส่งผลโดยตรงไปที่ขุมทรัพย์มหาศาล ซึ่งถูกเชื่อมโยงว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง รวมถึงกิจกรรมของพรรคเพื่อไทยในการลงพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ

ผลจากการปิดประตูลงล็อกคดียึดทรัพย์ครั้งนี้ จึงส่งผลกระทบทางจิตวิทยา บั่นทอนกำลังใจของเครือข่าย ผู้สนับสนุนทักษิณที่กำลังเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทักษิณ แบบทางลับและทางแจ้ง

ยิ่งสู้ยิ่งแพ้...90 ศพแล้วก็ไม่ชนะ และจะสู้ไปทำไมอีก!?!

ประเด็นเรื่องขวัญกำลังใจหนักหนาสาหัสไม่ยิ่งหย่อนกว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” ซึ่งทักษิณ ได้ปิดวาล์วไปก่อนหน้า เพราะประเมินแล้วการทุ่มทุนในจังหวะนี้อาจได้ผลไม่คุ้มค่า เมื่อการเลือกตั้งกว่าจะเกิดขึ้นอาจทอดเวลาไปอีกนานนับปี

ทักษิณเห็นว่า สส.เพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงควรใช้กระแสศพ ความตายที่ราชประสงค์ปลุกกระแส แทนเงินไปก่อน

สส.เพื่อไทยจึงบ่นอุบน้ำมันไม่ไหล มีแต่เงินเดือน 5 หมื่นบาท จนทักษิณต้องปลอบประโลมผ่านการโฟนอินในช่วงการลงพื้นที่เหนืออีสานของ สส.พรรคเพื่อไทย ว่าให้ “อดทน” และ“ทนอด” ต่อไป
กระนั้น หลังปิดเกมยึดทรัพย์ แม้ทักษิณจะเดินหน้าต่อสู้ขอเงินคืนผ่านการยื่นร้องในศาล เวทีระหว่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จะปิดฉากการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล

เงินทักษิณที่ได้มาโดยไม่ชอบตามคำพิพากษาศาล เมื่อถูกยึดเข้าคลังหลวง สถานการณ์การเมืองจากนี้ จึงสุ่มเสี่ยงที่การชุมนุมใหญ่ ความรุนแรงอาจปะทุขึ้นอีก

ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ การลุกฮือของผู้สนับสนุนทักษิณ เพื่อตอบโต้ “แรงบีบ” หลังจากถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการหยิบยกประเด็นยึดทรัพย์เข้ามาผสมโรงกับการสั่งฟ้องคดีก่อการร้ายกับแกนนำเสื้อแดง

โดยเฉพาะการเดินเกมใต้ดิน ที่แนวร่วมทักษิณซึ่งไม่รู้ใครเป็นใคร อาจอาศัยจังหวะนี้ขึ้นมาสร้างสถานการณ์ ปลุกความรุนแรงให้เกิดขึ้น จากความเคียดแค้นที่พ่ายแพ้ สอดรับกับข้อมูลจากหน่วยข่าวความมั่นคงที่เตือนถึงการ “วินาศกรรม” ในเดือนสิงหาอันตราย หลังจากมีการวางระเบิดท้าทายรัฐบาลหลายครั้ง

ยิ่งในช่วงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์นี้ สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ

นับจากนี้ไปจึงเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางล่อแหลมต่อความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น เป็นงานหนักที่รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องวางแนวทางรับมืออย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความปั่นป่วนซ้ำเติมสถานการณ์ขณะนี้