posttoday

ศาลฎีกาลงมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์

11 สิงหาคม 2553

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติ 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกจำนวน 4.6หมื่นล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าไม่มีหลักฐานใหม่

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติ 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกจำนวน 4.6หมื่นล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าไม่มีหลักฐานใหม่

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ลงมติ 103 ต่อ 4 ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพวกมูลค่ากว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

ศาลฎีกา ออกแถลงการณ์ว่า ที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น และเงินปันผลหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,678,454.70 บาท พร้อมดอกผล เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินด้วย โ

ศาลฎีกาลงมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

โดยองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์  5 คน ประกอบด้วย นายพีรพล พิชยวัฒน์ รองประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และนายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรค 3 ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์อุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3–6 จึงได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยพิจารณาเห็นว่าไม่ควรรับอุทธรณ์

การประชุมครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 142 คน มาประชุมเพียง 119 คน ขาดประชุม 23 คน เนื่องจากบางคนป่วย บางคนลากิจล่วงหน้า เป็นต้น จึงมีมติเสียงข้างมากดังนี้ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 103 เสียง (จากยอด 119 เสียง) เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 4 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง กรณีของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ผู้คัดค้านที่ 1 เห็นควรไม่รับอุทธรณ์ 101 เสียง  เห็นควรให้รับ 4 เสียง ส่วนกรณี นาย พานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สมควรรับอุทธรณ์ 99 คน เห็นควร 2 เสียง

สำหรับความเป็นมาของคดีนี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)และเงินปันผลจำนวน 46,373,687,454.70ล้านบาท ในชื่อบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ นายพานทองแท้ น.ส.แพทองธาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ตกเป็นของแผ่นดิน

ด้านนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยหลังทราบมติดังกล่าวของศาลฎีกาว่า ในทางกฎหมายถือว่าคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว หลังจากนี้คงจะประชุมร่วมกับทีมงานกฎหมายว่าจะมีแนวทางอย่างไรต่อไป
         
"ตามกฎหมายถือว่าเราไปสุดปลายทางแล้ว เพราะเมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะไปอุทธรณ์ ฎีกากับใครอีกจากนี้ไปคงต้องประชุมหารือกับทีมงานก่อนว่าคงไม่ได้แก้ไขจากคดีนี้แล้ว ต้องไปว่ากันเรื่องใหม่ เพราะเรื่องนี้ในทางกฎหมายถือว่าจบ" นายฉัตรทิพย์ กล่าว