สิ่งที่คงเดิม
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยเขมร ร้าวฉานมากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดปมการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ที่ไทยคัดค้านการตั้งคณะกรรมการร่วมบริหารพื้นที่รอบๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยเขมร ร้าวฉานมากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดปมการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ที่ไทยคัดค้านการตั้งคณะกรรมการร่วมบริหารพื้นที่รอบๆ
สาเหตุเพราะแนวโน้มคณะกรรมการมรดกโลก จะตั้งคณะกรรมการร่วมจากชาติที่เข้าข้างเขมรเและผลเสียจะเกิดกับไทย เนื่องจากพื้นที่พัฒนารอบๆ อยู่ในไทยเป็นส่วนใหญ่
แน่นอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผลประโยชน์ของประเทศต้องมาก่อน
แต่การก้าวเดินของเขมรเป็นสิ่งที่ต้องจับตาเช่นกัน เพราะเกมปราสาทพระวิหาร เขมรเป็นฝ่ายรุกตลอด
การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในขณะนี้ จัดที่บราซิล ตัวแทนของเขมร คือ สกอัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ก่อนการเดินทางของ สกอัน เขมรก็เริ่มโหมโรงด้วยการนำคณะทูตขึ้นไปชมปราสาทพระวิหารเงียบๆ ภายใต้เหตุผลเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
คณะทูตานุทูตมีทั้งหมด 20 คน อาทิ จากอังกฤษ ออสเตรเลีย คิวบา ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และพม่า
เขมรยังพาคณะทูตเยี่ยมชมตลาดเชิงเขาพระวิหารทางฝั่งไทย ที่เขมรกล่าวหาว่า ถูกทหารไทยยิงทำลายเสียหายยับเยิน ระหว่างการปะทะเมื่อปีที่แล้ว
พล.อ.เจียดารา รองผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชา ยังได้แจ้งกับบรรดานักการทูตของนานาชาติในกรุงพนมเปญ ว่า ไทยมีพฤติกรรมใช้พระสงฆ์และชาวบ้านเป็นเครื่องมือรุกล้ำพรมแดนบริเวณพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร
บรรดานักการเมืองของเขมรยังดาหน้าออกมาพูดในเรื่องนี้ โดย ฮอร์นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศเขมร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การคัดค้านแผนอนุรักษ์และบริหารปราสาทพระวิหารของทางการไทยล้าสมัย
และการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลกได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่ว่าคนไทยและประเทศไทยจะทำอย่างไร และพยายามมากเพียงใดก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลง
นี่แหละ หากไปเปิดประวัติศาสตร์คงไม่แปลกใจทำไมเขมรเป็นเช่นนี้ เพราะเขมรคอยแว้งกัดเราตลอด
วันเวลาเปลี่ยน แต่สันดานเขมรไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ