posttoday

สปช.รับทราบรายงานแก้วิกฤตกรุงเทพฯจม

22 กรกฎาคม 2558

มติสปช.รับทราบรายงาน รับมือวิกฤตกทม.จม เตือนกรณีร้ายแรงอีก​15 ปีจม งัด 4 มาตรการแก้ปัญหา เร่งทำเป็นยุทธศาสตร์ชาติ

มติสปช.รับทราบรายงาน รับมือวิกฤตกทม.จม เตือนกรณีร้ายแรงอีก​15 ปีจม งัด 4  มาตรการแก้ปัญหา เร่งทำเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีมติ 166 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 เสียง  เห็นชอบรายงานของคณะกรรมการการเตรียมการเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ (กรุงเทพจม)  เรื่องการปฏิรูปเพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลขึ้นสูงและแผ่นดินทรุดพื้นที่กทม.และปริมณฑล​ ซึ่งมีนายวิทยา กุลสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ​ซึ่งคณะกรรมาธิการนำกลับไปทบทวนใหม่ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ภายใน 7 วัน

นายวิทยา ชี้แจงว่า จากลักษณะพื้นดินของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 0.5-2.0 เมตร ประกอบกับกทม.มีการพัฒนาความเจริญในหลาย ๆด้าน  มีการทรุดตัวจากการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ระบบน้ำประปาเข้าไม่ถึง   รวมทั้งภาวะน้ำหนักกดทับจากสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้นจากอาคารสูง ทำให้พื้นที่บางส่วนของกทม.และปริมณฑลมีโอกาสจะจมน้ำทะเลได้ในอนาคต

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ดังนั้นการปฏิรูป โดยเฉพาะในเชิงนโยบายจะต้องครอบคลุมทุกมิติที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ โดยจัดเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลหนุนสูงและแผ่นดินทรุด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจัดทำเป็นแผนหลักระยะยาว โดยเพิ่มเติมกฎหมายและขยายขอบเขตบทบาท กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิรูปองค์กร ต้องกำหนดให้หน่วยงานหรือคณะกรรมการเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนแผนงาน กำกับดูแลภารกิจในการป้องกันและรับมือปัญหาวิกฤตน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้และตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

"โอกาสที่กทม.และปริมณฑลมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของดินและน้ำทะเลขึ้นสูง หากไม่ดำเนินการหรือมีมาตรการรองรับในระยะสั้น จะเกิดความเสี่ยงสูงมาก จากพื้นที่น้ำทะเลท่วมในวงกว้างและลึก โดยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และใช้งบประมาณมหาศาล และอาจจะต้องมีการทบทวนประเด็นของการย้ายเมืองหลวงด้วย แต่ขณะนี้กทม.มีความเสี่ยงอยู่ในระดับกลาง หากดำเนินการด้านมาตรการเพื่อรองรับในระยะเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถรับมือวิฤตการณ์ได้ทัน สามารถควบคุมความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง" นายวิทยากล่าว

จากนั้นสมาชิก ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเห็นว่าควรให้มีการขุดลอก คู คลอง เพื่อให้การระบายน้ำสะดวกรวดเร็วขึ้นในช่วงน้ำท่วม และสร้างทางน้ำออกสู่ทะเล รวมถึงมีการเสนอให้หยุดการเติบโตของเมือง โดยพิจารณาย้ายแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ ออกนอกพื้นที่กทม.และพื้นที่ภาคตะวันออกด้วย โดยอาจจะเป็นโครงการใน 20 –30 ปีข้างหน้า

นายสุจริต คูณธนกุลวงศ์ กรรมาธิการฯ  แถลงว่า  สำหรับมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้กทม.จมนั้นจะต้องทำในหลายประเด็น 1.การควบคุมการใช้นำบาดาล เพื่อควบคุมการทรุดตัวของแผ่นดิน 2.การควบคุมผังเมืองเพื่อควบคุมอาคารสูงไม่ให้กดทับพื้นดิน 3.ควบคุมการยกระดับของน้ำทะเล 4.บูรณาการดำเนินการป้องกันแบบองค์รวม หากไม่มีการดำเนินการอะไรเลยในเรื่องเหล่านี้ ประเมินว่ากรณีที่เลวร้ายที่สุดกทม.จะจมใน 15 ปีข้างหน้า

ดังนั้นในช่วงเวลานี้ต้องเร่งทำเรื่องกทม.จมให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อหามาตรการในการรับมือ ซึ่งปัจจัยที่น่าห่วงที่สุดคือการหนุนของน้ำทะเลเพราะไม่สามารถควบคุมได้ ขณะนี้ที่อ่าวไทยมีน้ำทะเลเพิ่มขึ้นทุกปี จึงมีแนวคิดที่จะทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ตั้งแต่อ.ศรีราชา ชลบุรี ถึงอ.หัวหิน ประจวบฯ เพื่อป้องกันไม่ให้กทม.จม ตลอดจนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่โดยรอบ ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท