posttoday

ศาลยุติธรรมค้านสุดตัวกรณีเพิ่มสัดส่วน ก.ต.

17 มิถุนายน 2558

ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม 1,380 คน ลงชื่อคัดค้านร่างธรรมนูญ นำคนภายนอก ร่วมเป็น คณะกรรมการตุลาการ หวั่นการเมืองแทรกแซง

ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม 1,380 คน ลงชื่อคัดค้านร่างธรรมนูญ นำคนภายนอก ร่วมเป็น คณะกรรมการตุลาการ หวั่นการเมืองแทรกแซง

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.  ที่ศาลฎีกา อาคารศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และนายสมชาติ ธัญญาวินิชกุล ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้เเถลงข่าวพร้อมนำจดหมายเปิดผนึกพร้อมรายชื่อผู้พิพากษาจำนวน 1,380 คนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องการเพิ่มสัดส่วน คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ที่มาจากฝ่ายการเมือง และการอุทธรณ์โทษวินัยจากคำสั่ง ก.ต.ที่จะกำหนดให้สามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาได้ ยื่นต่อ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อส่งมอบไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

นายภัทรศักดิ์ กล่าวภายหลังรรับจดหมายเปิดผนึกในครั้งนี้ว่า มีประเด็นที่สอดคล้องกับศาลยุติธรรมที่เคยได้แถลงจุดยืน  7 ข้อ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักงานศาลยุติธรรมมีความห่วงใย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผู้พิพากษา โดยข้อร้องเรียนที่ได้เสนอไปนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อทางสำนักงานศาลยุติธรรม ได้จดหมายเปิดผนึกนี้เเล้วก้จะมีการเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ต่อมานายศรีอัมพร ได้แถลงว่า ภายหลังจากที่ผู้พิพากษาจำนวน 427 คนออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญเรื่องการเพิ่มสัดส่วน ก.ต.ศาลยุติธรรมที่กำหนดให้เพิ่มสัดส่วน ก.ต.จากฝ่ายการเมืองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จนมีกระแสข่าวว่าคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้ยอมรับว่าจะไม่เพิ่มสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ตามที่ได้มีการเเย้งจากผู้พิพากษาศาลยุติธรรมอาจ เเต่จะมีการเสนอให้มีแก้ไขให้ร่างรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้เพิ่ม ก.ต. ที่เป็นตัวแทนจากคณะรัฐมนตรี มา อีก 1 คน ซึ่งการเสนอดังกล่าวพวกเราไม่เห็นด้วยจึงมีการรวบรวมรายชื่อผู้พิพากษาทุกระดับชั้น จำนวน 1,380 คน ณ.ปัจจุบัน เเละทำจดหมายเปิดผนึกแสดงเหตุผลคัดค้านแนวคิดดังกล่าว รวมถึงแนวคิดที่กำหนดให้ผู้พิพากษาที่ถูก ก.ต.ลงโทษทางวินัยมีสิทธิ์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้เนื่องจากจะเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของ ก.ต. และหากศาลถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง จะทำให้ประชาชนที่มีคดีความเข้าสู่ศาลก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรมดังนั้น จึงอยากให้คณะกรรมธิการยกร่างฯ ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการเพิ่มสัดส่วน ก.ต.คนนอก ว่าถ้าเพิ่มสัดส่วน ก.ต.ให้มาจากฝ่ายการเมืองเเล้ว จะแก้ปัญหาอะไร และหากแก้ไขแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนตรงไหน ให้พูดมาให้ชัดเจน

"เมื่อปี 2535 มีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงในเรื่องแต่งตั้งประธานศาลฎีกา จนเกิดเหตุการณืที่เรียกว่าวิกฤติตุลาการ เเละหลังจากนั้นยังมีความพยายามออกกฎหมายเพื่อให้นักการเมืองเข้ามามีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาหลายครั้ง กระทั่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ได้เสนอให้แยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม และมีการแก้ไขสัดส่วนของ ก.ต.โดยฝ่ายศาลไม่ต้องการให้มี ก.ต.มาจากบุคคลภายนอก ที่ไม่ใช่ผู้พิพากษา แต่นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนให้ความเห็นว่า ศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยควรมีความยึดโยงกับประชาชน จึงกำหนดให้วุฒิสภาสรรหาบุคคลที่เหมาะสม 2 คน ร่วมเป็น ก.ต.จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.2550 ก็ใช้หลักการเดิมมาถึงปัจจุบันโดยที่ไม่เคยมีปัญหาอะไร ส่วนที่อ้างว่าจะต้องเปลี่ยนโครงสร้าง เพื่อให้องค์ประกอบ ก.ต.ของศาลยุติธรรมเหมือนกับ คณะกรรมการศาลปกครอง หรือ ก.ศป.ของศาลปกครอง นั้นผมเห็นว่าองค์ประกอบของทั้ง 2 ศาลแตกต่างกัน เนื่องจากในการก่อตั้งศาลปกครอง ได้นำแบบอย่างมาจากต่างประเทศ โดยยินยอมให้ตัวแทนของค.ร.ม.เข้ามาเป็น ก.ศ.ป. แต่ในส่วนของ ก.ต.ศาลยุติธรรมเห็นว่า ไม่ควรเพิ่มสัดส่วน ก.ต.จากคนนอกที่มาจากฝ่ายรัฐบาล"นายศรีอัมพร กล่าว

ด้านนายสมชาติ  ธัญญาวินิชกุล  ผู้พิพากษาศาลฎีกา  หนึ่งในผู้ร่วมลงนามจดหมายปิดผนึก เเถลงว่าที่ ศาลยุติธรรมแยกออกมาจากกระทรวงยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้นก็เพื่อไม่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองใช้อำนาจก้าวก่ายแทรกแซงความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในการทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี แล้วเหตุใดจึงคิดเพิ่มตัวแทนนักการเมืองให้เข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งโยกย้ายและลงโทษผู้พิพากษา  การปรับเปลี่ยนอย่างนี้เรียกว่าปรับเปลี่ยนเพื่อให้นักการเมืองมีโอกาสแทรกแซงศาลมากขึ้น เป็นการลดทอนความเป็นอิสระของศาล  ทำให้ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง  ถือว่าเป็นการปฎิรูปแบบถอยหลังเข้าคลอง แม้รัฐบาลชุดนี้สุจริตใจไม่ได้คิดแทรกแซงศาล มองว่า ก.ต.ที่มาจากการสรรหาของวุฒิสภา 2 คน ที่มีอยู่เดิมก็มากเกินพอแล้ว เพราะขนาดนายเมธี ครองแก้ว  ซึ่งปัจจุบันเป็นก.ต.สัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิจากคนนอก ก็ยังมีความเห็นว่า สัดส่วน ก.ต.จากคนนอกแค่ 2 คนนั้นมีความเหมาะสมเพียงพอแล้ว หรืออดีต ก.ต.ที่มาจากสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิคนอื่นก็มีความเห็นสอดคล้องกับนายเมธี

นายสมชาติ กล่าวอีกว่า มีข้อสังเกตว่าตามร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มี ก.ต. มาจากบุคคลภายนอกไม่น้อยกว่า 1ใน3 ของ ก.ต.ที่เป็นผู้พิพากษานั้น ทำให้สงสัยว่ามีคนต้องการให้ฝ่ายการเมืองมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะคำว่าไม่น้อยกว่า 1ใน3นั้น ย่อมหมายถึงว่าจะให้มี ก.ต.จากภายนอกมากว่าครึ่งหนึ่งของ ก.ต.ทั้งหมดก็ได้ จึงอยากทราบว่าถ้อยคำที่ไม่น้อยกว่า 1ใน3นั้น เป็นความคิดริเริ่มของกรรมาธิการยกร่างคนใด เเละอยากให้ย้อนถามว่าเหตุใดจึงมีการเสนอคำพูดเช่นนั้น และเหตุใดกรรมาธิการยกร่างท่านอื่นจึงไม่ทักท้วง  ถ้าผู้พิพากษาเป็นเช่นเดียวกับข้าราชการฝ่ายอื่นที่ต้องฟังคำสั่งนักการเมืองแล้ว ประชาชนซึ่งมีคดีความในศาลจะได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร

"ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรมี ก.ต. ที่มาจากฝ่ายการเมืองเลยด้วยซ้ำไป เพื่อที่ศาลจะปลอดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง และสามารให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนโดยไม่ต้องมีใครมากดดัน และวุฒิสภาบางยุคบางสมัยก็ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ยิ่งเพิ่มตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้ามาในก.ต. มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงศาลมากขึ้นเท่านั้น ที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองก็พยายามออกกฏหมายให้เข้ามาควบคุมศาล อยากถามหน่อยว่า การที่กรรมาธิการยกร่างมีเเนวคิดเสนอสัดส่วน ก.ต.เช่นนี้ เป็นการดิสเครดิตของศาลของยุติธรรมหรือไม่  เพราะเมื่อมีการเสนอให้มีสัดส่วนก.ต.ที่มาจากค.ร.ม. 1 คน แล้วก็ยังมีแนวคิดเสนอให้สามารถอุทธรณ์คำสั่งลงโทษของก.ต.ต่อศาลฎีกาได้อีก  ขนาดผู้พิพากษาที่ถูก ก.ต.ลงโทษ ก็ไม่เคยเรียกที่จะให้มีการอุทธรณ์คำสั่งในศาลฎีกาเลย เพราะผู้พิพากษาทราบดีกว่า ก.ต.เป็นองค์กรบริหารสูงสุดของศาล ที่มีประธานศาลฎีกานั่งเป็นประธานก.ต.อยู่แล้ว ลองคิดดูว่าว่าถ้าผู้พิพากษาต้องฟๆังคำสั่งฝ่ายการเมืองประชาชนจะอยู่อย่างไร"นายสมชาติ กล่าว

สำหรับผู้พิพากษาที่ร่วมลงชื่อท้ายหนังสือปิดผนึกนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 1,380 คน แยกเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา 203 คน ศาลอุทธรณ์และอุทธรณ์ภาค 506 คน ศาลชั้นต้น 671 คน โดยมีผู้บริหารระดับสูงทั้ง 3 ชั้นศาล เช่น รองประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลอุทธรณ์ เเละประธานศาลอุทธรณ์ภาคต่างๆเกือบ ทุกภาค รวมถึงระดับ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง อธิบดีศาลเเพ่งกรุงเทพใต้ อธิบดีศาลเเพ่งธนบุรีอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอื่นๆ อธิบดีผู้พิพากษาภาค และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต่างๆ ฯลฯ

เมื่อถามว่า หากคณะกรรมาธิการยกร่างยังยืนยันตามความเห็นเดิมที่จะให้มีสัดส่วนคนนอกเพิ่มเข้ามาใน ก.ต.จะทำให้เกิดวิกฤติตุลาการหรือไม่  นายศรีอัมพร กล่าวว่า วิกฤติจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายการเมืองเข้ามาใช้อิทธิพลแทรกแซงการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตามเราก็ต้องอยู่ภายในรัฐธรรมนูญ ถ้าหากรัฐธรรมนูญออกแบบมาไม่ดี ทำให้เกิดผลเสีย เราก็ต้องออกมาบอกประชาชน ซึ่งขณะนี้เราก็ไม่ว่าทางคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะแปรญัตติสัดส่วน ก.ต.ออกมาอย่างไร โดยผู้พิพากษาที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ใช่เพื่อต้องการล้มรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเพียงเสียงสะท้อนให้รัฐธรรมนูญออกมาเป็นฉบับที่ดี เพื่อให้เป็นธรรมและที่พึ่งแก่ประชาชนได้

เมื่อถามว่า หากคณะกรรมาธิการยกร่างแปรญัตติให้เพิ่มสัดส่วน ก.ต.คนนอกที่มาจาก ค.ร.ม.เพียง 1 คนก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเสียงข้างมากใน ก.ต.ใช่หรือไม่ นายศรีอัมพร กล่าวว่า  หากยอมให้คนนอกเข้ามาได้ 1 เสียง ต่อไปก็ต้องมีเพิ่มเป็น 2-3 เสียง อะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงเราก็ไม่เห็นด้วย สัดส่วน 2 คนที่มาจากวุฒิสภาก็เพียงพอแล้วและควรจะไปปฏิรูปหน่วยงานยุติธรรมอื่นที่มีปัญหามากกว่าจะมาปฏิรูปศาลยุติธรรมที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่าการที่ออกร่าง รธน.เเบบนี้มองว่ามีจุดประสงค์เพื่อล้ม รธน.ทั้งฉบับหรือไม่ นายสมชาติ บอกว่า ไม่หลอก เค้าตั้งใจจะเเก้จริงๆ ตนเชื่อว่าคนที่เป็นผู้พิพากษาไม่มีคนไหนหลอกที่เห็นสมควรให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาร่วมใน ก.ต.  เพราะเมื่อศาลขาดอิสระประชาชนก้ขาดที่พึ่ง ที่เรารวมชื่อได้ 1,380 นั้นใช้ระยะเวลาสั้นเพื่อให้ได้รายชื่อส่งในตอนนี้ รายชื่อที่ส่งมาก็ถือว่ามีผู้พิพากษาประมาณ1ใน3เเล้วที่มาลงชื่อในครั้งนี้