posttoday

ยกฟ้อง"รบ.ยิ่งลักษณ์"คดีบริหารจัดการน้ำ

31 ตุลาคม 2557

ศาลปกครองสูงสุด ยกฟ้อง"ยิ่งลักษณ์" พร้อม พวก คดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนลบ. ระบุ ยังเป็นเพียงแผนงาน ไม่มีผลกระทบประชาชน

ศาลปกครองสูงสุด ยกฟ้อง"ยิ่งลักษณ์" พร้อม พวก คดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนลบ. ระบุ ยังเป็นเพียงแผนงาน ไม่มีผลกระทบประชาชน

วันที่ 31 ต.ค.ที่ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นยกฟ้องในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวกรวม 45 คน  ฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการนโยบายน้ำ และอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 ในการออกแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท 9 แผนงาน  โดยเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  เนื่องจากยังเป็นเพียงแผนงานที่จะทำในอนาคต นอกจากนี้ หลายโครงการยังเป็นเพียงกรอบความคิดที่ยังไม่ได้ดำเนินการ รวมทั้งยังไม่มีผลบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม

ที่สำคัญ โครงการตามแผนฯดังกล่าวยังไม่ได้จัดทำให้เป็นไปตามผังเมืองรวม หรือเป็นการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ตลอดจนยังไม่ใช่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่มีลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ ส่วนเสียสำคัญของประชาชนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี50 มาตรา 57 วรรค 2 และ มาตรา 67วรรค 2 ซึ่งกำหนดให้รัฐต้องจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างทั่วถึง ก่อนดำเนินโครงการแต่อย่างใด และแม้จะเล็งเห็นได้ในเบื้องต้นว่า หากมีการกำหนดโครงการหรือกิจกรรมตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทฯได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน บางโครงการบางกิจกรรม น่าจะมีผลกระทบคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน หากหน่วยรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นเรื่องที่ผู้เดือดร้อนเสียหายจะไปฟ้องศาลให้เพิกถอนเป็นรายโครงการไป

ส่วนที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานรัฐให้คู่สัญญาเป็นผู้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน อาจมีการเบี่ยงเบนผลการรับฟังความคิดเห็นประชาชนทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ ศาลเห็นว่าการให้เอกชนดำเนินการดังกล่าวย่อมอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว หากมีข้อบกพร่องไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลก็ต้องให้เอกชนกลับไปทำให้ครบถ้วน จึงจะเซ็นต์ตรวจรับงานและเบิกจ่ายค่าจ้างทำงานได้ ดังนั้นการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประชาชนภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐสามารถทำได้ ไม่ได้เป็นเหตุชวนให้เกิดความลังเลสงสัยว่าผลการศึกษาและการจัดให้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

สำหรับคำฟ้องว่ารัฐใช้วิธีการพิเศษในการจัดซื้อ จัดจ้างนั้น  ศาลเห็นว่าหากมีการดำเนินโครงการรัฐสามารถที่จะเลือกใช้วิธีการบริหารโครงการได้ตามดุลพินิจของผู้ว่าจ้างด้วยวิธีการใดก็ได้เพื่อให้โครงการดำเนินการเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ ซึ่งการกำหนดวิธีการจ้างดังกล่าวไม่ได้มีผลให้แผนบริหารจัดการน้ำไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด

ขณะที่ประเด็นที่อ้างว่าการดำเนินโครงการของรัฐในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157นั้นศาลเห็นว่า เป็นเรื่องการพิจารณาของศาลยุติธรรม  ส่วนประเด็นฟ้องส่อทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542นั้น นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของศาลและไม่ได้มีการฟ้องตั้งแต่ในศาลชั้นต้น จึงไม่รับพิจารณาในประเด็นนี้

ทางด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยอมรับว่าเสียใจกับผลคำพิพากษาที่ออกมา แต่ภาคประชาชนยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการและนโยบายของภาครัฐ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนต่อไป แม้ว่าโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จะถูกยกเลิกไปแล้ว โดยรัฐบาลปัจจุบัน แต่ปรากฏว่าพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เป็นผู้รับผิดชอบ ก็ได้มีการจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเน่าเสีย ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการน้ำเช่นกัน โดยขณะนี้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว แต่ไม่ครบทุกจังหวัด ดังนั้น ทางสมาคมจึงทำหนังสือท้วงติงไปถึง พล.อ.ฉัตรชัย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ว่าอยากให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งข้อพิพาทของสมาคมฯแล้ว หากไม่มีการดำเนินการ ทางสมาคมก็จะฟ้องร้องต่อศาล

“คำพิพากษาศาลที่ออกมาในวันนี้ มีการวางแนวปฏิบัติหลายเรื่อง ซึ่งถือว่าทำให้ภาคประชาชน ต้องเหนื่อยมากขึ้น และศาลก็อาจต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต่อไปหากมีการดำเนินโครงการตามแผนในอนาคตประชาชนที่ได้รับผลกระทบแต่ละจังหวัดที่เกิดโครงการ ก็จะมีการฟ้องของประชาชนต่อศาลปกครองเป็นรายจังหวัดทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งศาลอาจมองว่าเรื่องยังไม่เกิด ชาวบ้านต้องรอให้ตนเองเดือดร้อนจากโครงการก่อน แล้วมาฟ้อง ซึ่งก็ต้องติดตามเป็นรายโครงการ ซึ่งประชาชนก็เหนื่อย ขณะเดียวกันศาลปกครองก็ต้องรับภาระฟ้องมากขึ้นเพราะประชาชนจะฟ้องเป็นรายโครงการ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ยืนยันว่าภาคประชาชนจะติดตามและกัดไม่ปล่อย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน หากทำให้ประชาชนเดือดร้อน”นายศรีสุวรรณ กล่าว