2 มาตรฐานภาษี
รัฐบาลกำลังใช้ยาแรงในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศภายหลังจากที่บ้านเมืองเราเผชิญปัญหาวินาศกรรม เผาบ้านเผาเมืองจนต่างชาติขวัญกระเจิง
รัฐบาลกำลังใช้ยาแรงในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศภายหลังจากที่บ้านเมืองเราเผชิญปัญหาวินาศกรรม เผาบ้านเผาเมืองจนต่างชาติขวัญกระเจิง
ล่าสุด คณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในไทย (ROH)
เนื้อหาของมาตรการนี้คือการลดภาษีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในไทย
ปกติบริษัทข้ามชาติเหล่านี้จะไปตั้งสำนักงานสาขาในหลายประเทศ แต่จะมีศูนย์กลางเป็นสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค เพื่อดูแลสำนักงานสาขาย่อยๆ และแน่นอนศูนย์กลางสำคัญมักจะเป็นสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย
รัฐบาลจึงต้องการดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติเหล่านี้หันหัวเรือมายังบ้านเรา
และยาแรงที่รัฐบาลอัดฉีดเข้าไป อาทิ การยกเว้นการเสียภาษีนิติบุคคลที่เป็นกำไรจากรายรับในสาขาย่อยต่างประเทศเป็นเวลา 10 ปี จากเดิมที่เสียในอัตรา 10%
ส่วนกำไรจากรายรับในประเทศจะลดอัตราภาษีนิติบุคคลเหลือ 10% จากเดิม 30% เป็นเวลา 10 ปี
ขณะเดียวกันยังขยายเวลาการให้สิทธิพิเศษสำหรับต่างชาติที่จะมาทำงาน เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 15% เป็นเวลา 8 ปี จากเดิม 4 ปี
มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. และเป็นสิทธิพิเศษที่มอบให้กับต่างชาติที่จูงใจมากที่สุดในภูมิภาคนี้
นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่จะทำให้ง่ายขึ้น ด้วยการผ่อนปรนให้บริษัททยอยตั้งบริษัทในเครือหรือสาขาต่างประเทศ 3 แห่งภายใน 5 ปี
แน่นอน มาตรการทั้งหมดรัฐบาลหวังว่าจะจูงใจให้ต่างชาติ โดยจะกระทบรายได้ภาษี 4,000 ล้านบาท แต่ก็หวังคล้ายๆ กับการเอากุ้งฝอยไปตกปลากะพง เพราะจะได้ผลประโยชน์ที่มากกว่า
ความคิดดังกล่าวไม่ผิดหรอก แต่ผลที่ตามมาคือความอึดอัดไม่พอใจของบรรดาผู้ประกอบการคนไทย
เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการคนไทยต้องเสียภาษีถึง 37% สำหรับบริษัทที่มีรายได้ 4 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป หรือคิดง่ายๆ ถ้ามียอดขายเดือนละ 3.33 แสนบาท ก็ต้องเสียภาษีในอัตราดังกล่าวแล้ว
เมื่อรัฐบาลเอากุ้งฝอยหวังไปตกปลากะพงฝรั่ง แต่กลับทิ้งให้บรรดาปลาซิวปลาสร้อยที่อยู่ในเมืองไทยท้องกิ่ว มองตาปริบๆ
ทำไมบริษัทคนไทยถึงไม่ได้รับการยกเว้นภาษี หรือรัฐบาลไม่ต้องการเงินลงทุน การทำกิจกรรมของคนไทย?
2 มาตรฐานหรือเปล่า ...อันนี้ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร!!!