posttoday

สว.รับเอาผิดครม.ปมกู้2ล้านล.ขัดรธน.ยาก

13 มีนาคม 2557

คำนูณ ระบุ เอาผิดครม.ปมกู้2ล้านล.ขัดรธน.ยาก เป็นแค่ความผิดทางเทคนิค ชี้ เงินกู้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านเสี่ยงผิดรธน.ไปด้วย

คำนูณ ระบุเอาผิดครม.ปมกู้2ล้านล.ขัดรธน.ยาก เป็นแค่ความผิดทางเทคนิค ชี้ เงินกู้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านเสี่ยงผิดรธน.ไปด้วย

นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา ในฐานะหนึ่งในผู้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ากระบวนการตรากฎหมายและเนื้อหาของกฎหมายขัดกับรัฐธรรมนูญ ถือว่ากฎหมายดังกล่าวไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ต่อไป สำหรับช่องทางในการเอาผิดกับคณะรัฐมนตรีในฐานะผู้เสนอกฎหมาย ส่วนตัวมองว่าต้องไปยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญาหรือไม่ แต่การดำเนินการตามช่องทางนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน และอาจไม่มีผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน

“เช่นเดียวกับจะไปเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบก็คงทำได้ยาก เพราะรัฐบาลจะมีข้ออ้างออกมาว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำแหน่งคณะรัฐมนตรีแล้วด้วยผลจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร” นายคำนูณ กล่าว

นายคำนูณ กล่าวว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมานับว่าเป็นการปฎิรูประบบการเงินการคลังครั้งใหญ่ เพราะศาลได้วางแนวทางไว้ว่าการกู้เงินจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นการดำเนินการภายใต้ระบบงบประมาณที่ผ่านมาการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 และ 170 โดยจะไม่สามารถไปออกกฎหมายเพื่อกู้เงินที่เป็นเงินแผ่นดินมาใช้นอกระบบงบประมาณได้

สว.สรรหา รายนี้ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในประเด็นนี้ทำให้เกิดการตีความต่อไปว่าการจะใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทที่รัฐบาลได้กู้มาแล้วตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศจะต้องดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณตามรัฐธรรมนูญ 169 หรือไม่ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเอาไว้แล้วว่าเงินกู้ถือเป็นเงินแผ่นดินที่ต้องใช้จ่ายภายใต้เงื่อนไขมาตรา 169ซึ่งมาตรา 169บัญญัติให้การจ่ายเงินแผ่นดินต้องทำเป็นกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเท่านั้น

“ส่วนตัวไม่เคยขัดขวางการกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ แต่การกู้เงินนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและตามระบบงบประมาณที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น หากในอนาคตถ้ารัฐบาลใหม่จะกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องดำเนินการผ่านการตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ในงบประมาณประจำปีเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน เรียกร้องให้มีการตรากฎหมายการเงินการคลังของรัฐเพื่อกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลังด้วยหลังจากรัฐธรรมนูญมาตรา 167ได้บัญญัติเอาไว้แต่ยังไม่มีรัฐบาลชุดไหนดำเนินการเสนอกฎหมายเข้าสภา”นายคำนูณ กล่าว

นายไพบูลย์ นิติตะวัน สว.สรรหา และ กลุ่ม 40 สว. กล่าวว่า การเอาผิดทางอาญากับรัฐบาลในเรื่องนี้ผ่านคณะกรรมการป.ป.ช.คงทำได้ยาก เพราะเห็นว่าการเสนอกฎหมายการเงินถือเป็นอำนาจของรัฐบาลที่สามารถกระทำได้ แม้ต่อมากฎหมายดังกล่าวจะขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นโมฆะ แต่อีกด้านหนึ่งย่อมมองได้ว่าเป็นเรื่องของการมุมทางกฎหมายที่แตกต่างกันระหว่างรัฐบาลและศาลรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าการจะดำเนินการกับรัฐบาลต่อไปควรเป็นไปในแนวทางของการเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความผิดชอบทางการเมืองมากกว่า

 “จากพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมองได้ยากว่ารัฐบาลได้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ เพราะการเสนอกฎหมายนั้นเป็นอำนาจของรัฐบาลอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญแม้ต่อมากฎหมายดังกล่าวจะขัดกับรัฐธรรมนูญก็ตาม ซึ่งกรณีนี้ไม่เหมือนกับการเอาผิดอดีตสส.และสว.จำนวน 308 คนที่ร่วมกันเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าเป็นการใช้อำนาจขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และนอกจากนี้ในมาตรา 68 ยังกำหนดให้สามารถเอาผิดทางอาญากับผู้กระทำความผิดได้ด้วย” นายไพบูลย์ กล่าว