กมธ.ซัดประชานิยมปูสร้างภาระชาติ5แสนล้าน
กมธ.การเงินวุฒิสภา ซัดประชานิยม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สร้างภาระชาติ5แสนล้านบาท ชี้ จำนำข้าวตัวสร้างปัญหา
กมธ.การเงินวุฒิสภา ซัดประชานิยม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สร้างภาระชาติ5แสนล้านบาท ชี้ จำนำข้าวตัวสร้างปัญหา
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีนายวิทวัส บุญญสถิตย์ สว.สรรหา เป็นประธานคณะกมธ.กรรมาธิการฯ ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ความห่วงใยนโยบายประชานิยม ต่อหนี้สาธารณะสาธารณะของประเทศ" ต่อที่ประชุมวุฒิสภา
สำหรับสาระสำคัญของรายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาและติดตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2554 โดยในรอบ1ปีแรกของการเข้ามาบริหารประเทศ สรุปได้ว่า การใช้นโยบายประชานิคมได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศเพราะระบบเลือกตั้งที่คำนึงถึงเฉพาะการได้มาซึ่ง ส.ส.จำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แทนการคำนึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบอบการเมืองการปกครองด้วย
ทั้งนี้คณะกมธ.ได้มีเสนอแนะต่อรัฐบาลด้วยโดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ ช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงกับวิกฤษเศรษฐกิจโลก ทำให้ไทยไม่สามารถพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจะใช้นโยบายประชานิยมต้องมีการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับและต้องสนับสนุนการบริหารเศรษฐกิจมหภาคดังนี้
1.ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยและต้องกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนำร่องไปก่อน เช่น การใช้จ่ายเงินเพื่อระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ทำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจากภาครัฐกับภาคเอกชน
2.นโยบายประชานิยมต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลังและเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในแง่ดีถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แง่ลบคือการลดความสำคัญของภาษีอากรที่เป็นเครื่องมือทางการคลังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
3.การใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมาย
4.นโยบายประชานิยมต้องสนับสนุนการออมของประเทศเพื่อเป็นการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
ขณะเดียวกันคณะกมธ.ยังได้สรุปนโยบายประชานิยมรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีผลต่อภาระทางการคลัง ในรอบปีแรกของการบริหารราชการแผ่นดิน โดยนโยบายทั้งหมดรวมเป็นเงินที่เป็นภาระทางการคลังได้ประมาณ 544,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.การลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก มีผลตั้งแต่ 22 ก.ย. 54 – 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.2หมื่นล้านบาท
2.คืนภาษีรถยนต์คันแรก มีผลตั้งแต่ 16 ก.ย.54 – 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 3 หมื่นล้านบาท
3.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร30 %เหลือ23 %และเหลือ20 %ในปี 2556 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555
4.ลดภาษีน้ำมันดีเซล มีผลตั้งแต่ 21 ส.ค.54- ก.ย.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 9,000 ล้านบาทต่อเดือน
5.ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็น 15,000 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.8หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2555 และ 2.3หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2556
6.แจกแท็บเล็ตฟรี ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลตั้งแต่เดือนต.ค.2555 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1,600 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 และจำนวน 1,200 บาทในปีงบประมาณ 2556
7.พักชำระหนี้เกษตรกร ที่มียอดเงินกู้ค้างชำระ 5แสนบาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.55 – 31 ส.ค. 58 โดยรัฐบาลใช้งบสนับสนุนปีละ 1.5หมื่นล้านบาท แต่ทางปฏิบัติรัฐบาลและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจะรับภาระ 50:50 แต่ในที่สุดคาดว่ารัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงินโดยลำพัง
8.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ช่วงทำโครงการ 7 ต.ค. 54 -15 ก.ย.55 มีประมาณการค่าใช้จ่าย 3แสนล้านบาทหรือ2.6%ของจีดีพีในปี 2555 ทั้งนี้จำนวนภาระทางการคลังจะเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวที่รัฐบาลจะขายได้
9.การปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 ภาระทางการคลังภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับภาระโดยตรง
10.กองทุนพัฒนาสตรี เปิดรับสมัครตั้งแต่ 18 ก.ย. 55 ภาระทางการคลัง อยู่ที่จังหวัดละ 100 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 7,700 ล้านบาท