มติสภา349:157ผ่านแก้รธน.มาตรา2
ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นชอบมาตรา 2 แก้รธน.ที่มาสว. ขณะที่ สว.-ฝ่ายค้านห่วงผลประโยชน์ทับซ้อน
ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นชอบมาตรา 2 แก้รธน.ที่มาสว. ขณะที่ สว.ฝ่ายค้านห่วงผลประโยชน์ทับซ้อน
ภายหลังการพิจารณามาตรา 2 สุดท้ายที่ประชุมรัฐสภา มีมติ 349 ต่อ 157 เสียงเห็นชอบตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่ประชุมใช้เวลาพิจารณารวมกว่า 6 ชม. โดยส่วนใหญ่สมาชิกได้อภิปรายเป็นห่วงเรื่องประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ สว.สรรหา อภิปรายว่า ได้เสนอแก้ไขมาตรา 2 ให้ กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ 1 ปีนับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากเดิมที่มีผลบังคับใช้ทันทีนับจากวันประกาศ เพราะกฎหมายนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 275 ซึ่งอาจถูกยื่นให้ให้ศาลฎีกาแผนกดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตีความได้จึงจำเป็นต้องยืดเวลาบังคับใช้ออกไป
ทั้งนี้ กฎหมายฉบันนี้หากออกบังคับใช้คนที่ได้ประโยชน์คือ สว.รวมทั้งตัวเอง เพราะสามารถเป็นสว.ต่อได้ 1 วาระ ตามที่มีการแก้ไขในมาตรา 6 จากเดิมต้องเว้นวรรค 5 ปีเป็นสามารถเป็นต่อได้ทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยืดเวลามีผลบังคับใช้ออกไปไม่ให้ ผู้เสนอกฎหมาย หรือ ผู้ที่ลงมติมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและป้องกันไม่ให้ถูกดำเนินคดี
พล.อ.อ.วีรวิท กล่าวว่า การยืดเวลามีผลบังคับใช้ออกไปยังเกี่ยวข้องการแก้ไขพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส. และที่มาของสว. ที่จะทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีเวลาเตรียมตัวในการเลือกตั้งสว. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามเดิมเคยคิดว่าจะขอยืดเวลาบังคับใช้ออกไปมากกว่า 1 ปีแต่จากที่สอบถามนักกฎหมายส่วนใหญ่บอกว่าไม่เคยมีประกาศใช้บังคับหลัง 1 ปี
น.ส.รสนา โตสิตระกูล กล่าวว่า ที่เสนอแก้ไขมาตรา 2 นี้เพราะเกรงว่าจะมีผลกรทบเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน เพราะสมาชิกที่พิจารณาเรื่องนี้ทั้งสส.สว.จะมีส่วนได้ส่วนเสีย และจำทำให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่การขาดความสุจริตเที่ยงธรรม ขาดหลักนิติธรรม ซึ่งทั้งผู้ที่เสนอกฎมายและ ผู้ที่ลงมติ มีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายรัฐธรรมนูญมาตรา 270 เรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ มีตัวอย่างให้เห็นคือกรณีองค์ที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองยังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแนห่งทางการเมืองตัดสินว่ามีความผิด ดังนั้น จึงเป็นห่วงว่า หากสส. สว.เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แก้ไขมาตรา 2 เลื่อนการบังคับใช้ออกไป จะเข้าข่ายมีความผิดได้
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เสนอขอให้ตัดมาตรา 2 ทั้งมาตรา แต่หากไม่สามารถตัดได้ก็เห็นด้วยกับการที่ให้มีผลบังคับใช้ออกไป 1 ปี ทั้งเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนจากสว.ที่ได้จะได้ประโยชน์จากการลงสมัครรับเลือกตั้งต่อ และยังรวมไปถึงลูกเมีย ที่จะไม่ถูกตัดสิทธิ์ลงสมัคร อีกทั้งการเว้นออกไป 1 ปี ยังทำให้มีเวลาทำความข้าใจประชาชน ว่ารูปแบบสว. ใหม่เป็นอย่างไร และอาจจะได้ไปสอบความคิดเห็นของประชาชนแม้จะไม่ได้ทำเป็นประชามติแต่ก็ควรไปสอบความเห็นประชาชนที่เคยลงมติเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อที่จะได้นำมาปรับปรุงให้เหมาะสมให้ตรงใจประชาชน
นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานกมธ. กล่าวว่า เป็นธรรมเนียม ที่กฎหมายเแทบทุกฉบับระบุว่าจะให้ให้มีผลบังคับนับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งถือเป็นธรรมเนียม ส่วนที่มีสมาชิกเป็นห่วงเกรงว่าจะมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ต่างจากกรณีขึ้นเงินเดือนตัวเอง เพราะแม้แก้กฎหมายให้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสภา ขึ้นอยู่ที่ประชาชนว่าจะเลือกหรือไม่ ดังนั้นกรรมาธิการเสียงข้างมากจึงยืนยันตามเดิม
ด้านน.ส.รสนา กล่าวว่า แม้ประธานกมธ.จะชี้แจงแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความผิดที่เกิดขึ้นได้ เพราะ เรื่องนี้หากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมาลงมติก็จะส่งผลต่อการขัดกันของผลประโยชน์ เหมือนกับผลักดันเกาหลัง ผลัดกันกิน ผลัดกันชง และตนเองหากลงสมัครอีกครั้งก็เชื่อว่าจะได้รับเลือกตั้ง แต่ไม่อยากให้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี