posttoday

วสิษฐหวั่นเกิดมหาวิปโยคครั้งที่ 2

05 สิงหาคม 2556

พล.ต.อ.วสิษฐหวั่นเกิดมหาวิปโยคครั้งที่ 2 ชี้ผู้จุดชนวนแห่งวิกฤตคือเพื่อไทยเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษฯ

พล.ต.อ.วสิษฐหวั่นเกิดมหาวิปโยคครั้งที่ 2 ชี้ผู้จุดชนวนแห่งวิกฤตคือเพื่อไทยเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษฯ
  
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ และเครือข่ายกลุ่มไทยสปริง โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว วสิษฐ เดชกุญชร(Vasit Dejkunjorn) เปรียบเทียบสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยขณะนี้ว่า เป็น "มหาวิปโยคครั้งที่ 2" และชี้ว่าหาก พรรคเพื่อไทยโดย นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน จะเกิดการจลาจลนองเลือดครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ โดยมีเนื้อหาดังนี้
           
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ใกล้จะถึงจุดที่วิกฤตที่สุด
         
ผู้จุดชนวนแห่งวิกฤตคือพรรคเพื่อไทยโดยนายวรชัย เหมะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ และคณะ ซึ่งกำลังจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเปิดประชุมในวันพุธที่ 7 สิงหาคมนี้โดยจะให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ก่อนร่างกฎหมายอื่น ๆ
         
ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี้นายวรชัย อ้างว่าหากออกมาเป็นกฎหมาย จะทำให้ผู้ต้องหา และจำเลยในคดีสำคัญหลายคนและหลายคดีพ้นโทษเป็นอิสระทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสมาชิก นปช. หรือพันธมิตร แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายกลุ่มโดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะทำให้ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีสำคัญหลายคนและหลายคดีพ้นผิด
         
กลุ่มที่มิใช่นักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับที่กล่าวและได้นัดหมายจะชุมนุม แสดงความเห็นคัดค้านที่สวนลุมพินีในวันอาทิตย์ที่ 4สิงหาคมนี้ ได้แก่กลุ่มกองทัพประชาชนโค่น ระบอบทักษิณ และ “คณะ เสนาธิการร่วม”ซึ่งประกอบด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ หลายคน กลุ่มสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย(สปท.) กลุ่มหน้ากากขาว เป็นต้น กลุ่ม สปท.นั้นจะส่ง “กองกำลังอาสาพิทักษ์ประชาชน”เข้าให้ความปลอดภัยแก่ผู้ที่จะไป ชุมนุมด้วย กลุ่มเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เบื้องต้นที่กว้างกว่า คือไม่ยอมรับระบอบทักษิณและต้องการ ให้รัฐบาลลาออก แต่ได้รวมเอาการคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าไว้ด้วย
         
ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศว่าหากสภาดึงดัน พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมไป จนถึงวาระที่ 3 และลงมติรับร่างนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะออกไปร่วมแสดงการคัดค้านกับกลุ่มอื่น ๆ นอกสภา
         
ปฏิกิริยาของบุคคลในคณะรัฐบาลในชั้นแรกเป็นไปในเชิงดูหมิ่นเช่นบอกว่าจำนวนผู้ที่จะ ชุมนุมประท้วงคงมีไม่กี่พันคน แต่แล้วรัฐบาลก็ประกาศใช้พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ให้มีผลบังคับในเขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย และดุสิตตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม ห้ามใช้ถนนหลายสายที่ผ่านหรือไปสู่รัฐสภาและเรียกระดมกำลังตำรวจทั้งใน กรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด ทางด้านกระทรวงมหาดไทยได้เรียกสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน(อส.) 350 คนไปรักษาความสงบเรียบร้อยในกระทรวงด้วย
         
ในขณะเดียวกันเมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม ก็มีการประชุมแกนนำ นปช.จำนวนประมาณ 3พันคนที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เพื่อแสดงจุดยืนและกำหนดแนวทางการดำเนินงานของนปช. ที่ ประชุมประณามฝ่ายที่ต่อต้านการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่าขาดความชอบธรรม แสดงการไม่ยอมรับกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและ ใช้วิธีการอื่นเพื่อล้มล้างกระบวนการในระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้กลุ่มตนเองขึ้นสู่อำนาจทางการ เมืองการปกครอง
         
แถลงการณ์ของนปช.อ้างว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจสุ่มเสี่ยง ทำให้เกิดรัฐประหารโดยกอง ทัพจึงจะเตรียมพร้อมในที่ตั้งทั่วประเทศ และให้รอฟังการส่งสัญญาณจาก นปช.ส่วนกลาง
         
เพราะฉะนั้นช่วงเวลาตั้งแต่วันพุธที่ 7 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป จึงเป็นช่วงที่สถานการณ์จะ วิกฤตยิ่งขึ้น เป็นที่คาดหมายว่าจำนวนคนที่จะไปร่วมชุมนุมแสดงการคัดค้านกับกองทัพประชาชนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ และนอกจากกลุ่มต่าง ๆ ที่กล่าวแล้วสมาชิกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตยก็คงจะไปร่วมด้วย แม้ว่าแกนนำ อาทิพล.ต.จำลอง ศรีเมืองจะอยู่ในระหว่างประกันตัว และ ถูกศาลห้ามมิให้เคลื่อนไหวปลุกระดมก็ตาม
         
ที่น่าเป็นห่วงก็คือหากผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากสวนลุมพินีไปที่ใดก็ตาม แล้วถูกเจ้าหน้าที่ ห้ามและสะกัดกั้นทั้งสองฝ่ายก็อาจจะปะทะกัน เจ้าหน้าที่อาจใช้เครื่องมือปราบจลาจล เช่น แก๊ส น้ำตาและอาจจะหนักถึงกับยิงด้วยกระสุนหัวยาง ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เหตุก็อาจจะลุกลามออกไป เป็นการจลาจล
         
ที่เคยปรากฏมาแล้วอย่างในกรณีวันมหาวิปโยคเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีการปะทะกันระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
         
เมื่อวันที่2 สิงหาคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้แถลงการณ์เสนอทางออกโดยจะเปิดเวทีระดมความคิดเห็น เชิญตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาล นปช. พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยสมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระเอกชน และนักวิชาการ ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ“ออกแบบประชาธิปไตย” ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง และความเปลี่ยน แปลงที่ออกจากวงจรแห่งความขัดแย้ง
         
แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีดูเหมือนจะสะท้อนความปรารถนาดีแต่โดยเนื้อหาเป็นการ เริ่มต้นสิ่งที่ควรจะทำมานานแล้ว และยังจะต้องใช้เวลา ในขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้พูดว่าจะระงับการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่ หรือว่าจะปล่อยให้ดำเนินต่อไป
         
หากไม่มีคำตอบเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรมฝ่ายที่คัดค้านก็คงจะไม่รับข้อเสนอของ นายกรัฐมนตรีและการคัดค้านก็คงจะดำเนินต่อไปอย่างยืดเยื้อ โอกาสที่จะเกิดการปะทะกัน ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ก็ยังจะมีอยู่และไม่มีใครทำนายได้ว่า จะรุนแรงจนปะทุขึ้นกลายเป็น การจลาจลนองเลือดครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่งหรือไม่.