เขมรยัน2ชาติพิพาทต้องตีความคำพิพากษา
"กัมพูชา"ระบุไทยล้อมลวดหนามไม่ตรงตามคำตัดสิน ย้ำ"สีหนุ"ประท้วงหลายครั้ง ยกไทยทำแผนที่ L7017 สะท้อนเกิดข้อพิพาทศาลต้องตีความคำพิพากษา
"กัมพูชา"ระบุไทยล้อมลวดหนามไม่ตรงตามคำตัดสิน ย้ำ"สีหนุ"ประท้วงหลายครั้ง ยกไทยทำแผนที่ L7017 สะท้อนเกิดข้อพิพาทศาลต้องตีความคำพิพากษา
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. นายร็อดแมน บุนดี ทนายความฝ่ายกัมพูชา ขึ้นให้การทางวาจารอบสองต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี2505
นายร็อดแมนกล่าวว่า แนวรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไทยไม่ได้เป็นไปตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 อีกทั้งการที่ไทยยกกรณีพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัติรย์กัมพูชา ไม่คัดค้านต่อเส้นลวดหนามนั้น เพราะครั้งนั้นหากสมเด็จฯสีหนุก้าวข้ามรั้วลวดหนามก็จะเป็นปัญหา
กัมพูชายืนยันว่า มีการแสดงท่าทีคัดค้านอย่างชัดแจ้ง จากบันทึกของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในภาคผนวก 6 ของกัมพูชานั้นระบุว่า สมเด็จฯสีหนุได้กล่าวหลังจากไปเยี่ยมปราสาทพระวิหารว่าแม้ประเทศไทยจะถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหาร แต่ก็มีการสร้างรั้วลวดหนามขึ้นมา และยังรุกล้ำดินแดนกัมพูชาโดยละเมิดคำพิพากษา เหมือนกับว่าไทยตีความไปเองฝ่ายเดียว
นายร็อดเเมน กล่าวอีกว่า การให้การของไทยเมื่อวันที่ 17 เม.ย. พยายามจะเปรียบเทียบกับการเยือนปราสาทพระวิหารของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับ สมเด็จฯสีหนุ ซึ่งกัมพูชาขอชี้แจงว่าทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสมเด็จฯสีหนุได้ประท้วงท่าทีของไทยทั้งก่อนเดินทางไปและหลังจากเดินทางกลับ และยืนยันว่าได้พยายามประท้วงหลายครั้ง แต่ประเทศไทยไม่ยอมรับ ในขณะที่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไม่เคยพูดอะไรเลย
หลังจากนั้นตัวแทนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ทราบว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นหลังศาลมีคำพิพากษาในปี 2505 และไทยเองก็ทราบว่ามีเอกสารยืนยัน แต่ไม่เคยยอมรับ
อย่างไรก็ตามอีก 28 ปี ต่อมาหลังปี 2512 มีช่วงที่กลุ่มเขมรแดงเข้ามา จึงไม่มีใครทำอะไรกับปราสาท ทั้งนี้มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใหม่ในปี 2533 โดยครั้งนั้นประเทศไทยก็ไม่ได้อ้างถึงเส้นตามมติ ครม.แต่อย่างใด อีกทั้งทางกัมพูชายังสร้างวัดและมีคนกัมพูชาไปอาศัยจำนวนมาก แต่ไทยก็นิ่งเฉย ไม่ได้มีการประท้วง
นายร็อดเเมน กล่าวอีกว่า ในปี 2550 ไทยได้จัดทำแผนที่ L7017 ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งในปี 2551 กัมพูชาได้ปฏิเสธแล้วว่าแผนที่ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับแผนที่ตามภาคผนวก 1 (แผนที่1:200,000 หรือ ระวางดงรัก) ตามคำตัดสินของศาล
"กรณีดังกล่าวแสดงชัดเจนว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นจากการตีความคำพิพากษา แต่ต่างกันที่ไทยบอกว่าข้อพิพาทเกิดขึ้นจากแผนที่ที่กัมพูชาทำขึ้นมาเพื่อยื่นต่อ ยูเนสโก ในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทและบริเวณเป็นมรดกโลก แต่กัมพูชามองอีกด้านว่าข้อพิพาทเกิดขึ้น เพราะมีแผนที่ของไทยเกิดขึ้นมา"นายร็อดแมนกล่าว
นายร็อดแมนกล่าวอีกว่า สังเกตได้ชัดเจนว่า เรื่องนี้มีข้อพิพาทเกิดขึ้นไม่ว่าในแง่ใดก็ตามในความหมายและขอบเขตคำพิพากษา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ศาลต้องฟังคำขอของกัมพูชาเพื่อให้ตีความคำพิพากษาซ้ำอีกครั้ง
*************
อนึ่งแผนที่ L7017 คือแผนที่ซึ่งจัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทยซึ่งแสดงสภาพภูมิประเทศจากภาพถ่ายทางอากาศในมาตราส่วน 1: 50,000 โดยเป็นการถ่ายทอดเส้นเขตแดนตามสภาพภูมิประเทศจริง
ทั้งนี้แผนที่ตามภาคผนวก1ของกัมพูชาหรือแผนที่ 1:200,000 กับ แผนที่ L7017 ถูกจัดทำขึ้นโดยวิธีการจัดทำ (Projection)ที่ต่างกัน โดย แผนที่ L7017 จัดทำโดยใช้พื้นผิวของรูปทรงกระบอก (Mercator Projection) ซึ่งจะแสดงระยะทางที่ถูกต้อง แต่ขนาดของ ภูมิประเทศจะคลาดเคลื่อน ขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จัดทำโดยใช้ Sinusoidal Projection (ลักษณะคล้ายหัวหอม) จะแสดง ขนาดภูมิประเทศถูกต้อง แต่ระยะทางคลาดเคลื่อน
เนื่องด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของแผนที่ทั้ง 2 ชุด จึงไม่ สามารถนำแผนที่มาทาบกันได้ เพราะขนาดและรูปทรงของภูมิประเทศและ เส้นเขตแดนจะแตกต่างกันมาก
ทำให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เมื่อนำแผนที่มาทาบกันจึงทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเพราะขนาดและรูปทรงของภูมิประเทศและเส้นเขตแดนจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด