ปชป.อัดรัฐบาลล้มเหลวบริหารพลังงาน
อลงกรณ์ อัด รบ. ประกาศภาวะฉุกเฉินพลังงาน สะท้อนความล้มเหลวบริหาร แฉ พลังงานทดแทนไม่คืบเพราะมีด่านสกัดใน 2 กระทรวง
อลงกรณ์ อัด รบ. ประกาศภาวะฉุกเฉินพลังงาน สะท้อนความล้มเหลวบริหาร แฉ พลังงานทดแทนไม่คืบเพราะมีด่านสกัดใน 2 กระทรวง
นายอลงกรณ์ พลบุตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามสด เรื่องปัญหาวิกฤตไฟฟ้า ต่อประเด็นการเตรียมประกาศภาวะฉุกเฉิน ว่า การเตรียมประกาศภาวะฉุกเฉิน พลังงาน จากปัญหาที่แหล่งก๊าซพม่าปิดซ่อม สร้างความกระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และเมื่อปีที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ปิดซ่อมเช่นนี้ ไม่เห็นจะต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือจะเป็นการสร้างกระแสเหตุผลขึ้นค่าไฟ ขึ้นค่าแก๊สหรือเจรจาต่อรองอะไรหรือไม่
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การปิดซ่อมของบริษัท โททาล มีการแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทำไมไม่เจรจาแต่ต้น และการประกาศภาวะฉุกเฉินไฟฟ้าประกาศจนตกใจทั้งคนไทยและทั่วโลก แม้รัฐบาลจะเจรจาขยับเลื่อนวันซ่อมจากวันที่ 4 เม.ย. ไปเป็นวันที่ 5 เม.ย. ขยับไปอีก 1 วันครึ่ง แต่ก็เพิ่มจาก 8 วันเป็น 8 วันครึ่งแสดงให้เห็นว่า ไมมีการเตรียมความพร้อม ทำให้คนรู้สึกว่าไทยบริหารจัดการด้านพลังงานล้มเหลว ใครจะ คิดลงทุนค้าขาย แม้แต่ทัวร์ยังเลื่อนเพราะคำประกาศภาวะฉุกเฉินไฟฟ้า ซึ่งไม่เคยได้ยินว่าจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้ามากถึง 70 % ถือเป็นความเสี่ยงในการแก้ปัญหา ซึ่งในระยะกลางหรือระยะยาวคือการต้องลดการผลิตจากการใช้ก๊าซลงมา แต่รมต.กำลังเปิดประมูลโรงไฟฟ้าใหม่ 5,400 เมกะวัตต์กลางปีนี้ โดยกำหนดเสป็คว่าต้องใช้ก๊าซธรรมชาติเท่านั้น ทั้งที่ก๊าซเป็นความเสี่ยงของประเทศ นี่เป็นการแก้ปัญหาหรือการสร้างปัญหาให้ประเทศในอนาคต
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ทิศทางพลังงานทดแทนอื่น ๆทั้ง แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวลทำไมรัฐบาลไม่ให้น้ำหนัก การระบุว่าต้นทุนสูงยิ่งทำมากยิ่งขาดทุน นั้น ในขณะที่ทั่วโลกพยายามทำให้มากๆ เพื่อให้ถูกลงทั้ ลาว กัมพูชา พม่า ทำไมไทยไม่สนับสนุนพลังงานทางเลือกหรือจะเป็น อย่างอดีต รมว.พลังงาน บอกว่าการทำเรื่องนี้ มีสองด่านสำคัญ คือ กระทรวงพลังงาน และ พลังงาน อุตสาหกรรม อีกทั้ง ในวงการโซล่าเซลยังมีคนออกมาเร่ขายโครงการ หาก ใครต้องการตั้งโรงงานพลังงานแสดงอาทิตย์ในไทย จะต้องจ่ายเมกะวัตต์ละ 12-15 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รมว.พลังงงาน กล่าวว่า ปัญาหาเกิดจากซ่อมแซมแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งยานาดา จนไม่สามารถส่งก๊าซมาเมืองไทยได้ 1,100 ล้าน ลบ.ฟุต ต่อวัน จนกระทบต่อโรงไฟฟ้า 6 โรง ทำให้กำลังผลิต 6,400 เมกวัตต์หายไป ซึ่งแหล่งยานาดาเป็นพื้นที่อ่อนจะทรุดตัว 30 ซม. ทุกปี บริษัทโททาล ซึ่งได้รับสัมปทานระบุว่าจะซ่อมจึงย้ายแท่นขุดเจาะโดยใช้เวลา 8 วัน คือวันที่ 4-12 เม.ย. แต่ต่อมาเจรจาขยับเป็นวันที่ 5 เม.ย. เพราะการใช้ไฟ ในวันที่ 4 เม.ย. สูงถึง 26,500 เมกะวัตต์ จะเหลือไฟสำรองเพียงแค่ 500 เมกะวัต ต่ำกว่าจุดสูงสุดที่รับได้คือ 700 เมกะวัตต์ และถือเป็นอันตราย
ดังนั้น จึงได้เจรจา เลื่อนการซ่อมไป 1 สัปดาห์ คือไปช่วงเทศกาลสงกรานต์ 10-12 เม.ย. ซึ่งปริมาณการใช้ไฟเหลือแค่ 1.1 หมื่นเมกะวัตต์ เท่านั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องประกาศเรียกร้องให้คนประหยัดไฟ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน แต่ ทางเทคนิคแล้วเห็นว่ามีความเสี่ยง หากเลื่อนไปช่วงดังกล่าวแล้วเกิดปัญหาอาจทำให้ต้องปิดซ่อมนานนับเดือน จึงยอมให้เลื่อนไปแค่วันครึ่ง คือวันที่ 5 เม.ย. ซึ่ง ยอมรับได้ เพราะการใช้ไฟลดลงเหลือ 26,300 เมกะวัตต์ ไฟสำรองจะเหลือ 700 เมกะวัตต์ ดังนั้นจึงขอร้องให้ประหยัดพลังงานโดยให้รัฐบาลเป็นตัวนำและจะทำต่อเนื่องไม่ใช่ชั่วครว ซึ่งจะอันตรายแค่วันที่ 5 เม.ย. วันเดียว หลังจากเปิดทำการหลังวันหยุดยาวในช่วงวันที่9-11 เม.ย. ประเมินว่าการใช้ไฟจะอยู่ที่ 25,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีไฟสำรองเกินกว่าระดับที่ปลอดภัย
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนประเด็นเรื่องการใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าเป็นสัดส่วน 70 % นั้นถือเป็นความเสี่ยง และตั้งแต่เป็น รมว.พลังงาน ได้พูดในที่สาธารณะมาตลอดว่าต้องใช้พลังงานชนิดอื่นแต่ต้องคำนึงถึงทำให้เชื้อเพลิงราคาถูก และคำนึงถึงอุตสาหกรรมเพื่อมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ค่าไฟที่ถูกกว่าก๊าซธรรมชาติมีไม่กี่อย่างคือ ถ่านหิน น้ำ นิวเคลียร์ ส่วนพลังงานทดแทนอื่นเช่น แสงอาทิตย์ พลังงานลม ราคาสูงถึง10 บาท ต่อหน่วยทั้งนั้น หากซื้อมากกระทบต่อการแข่งขันอุตสาหกรรมและภาระประชาชน
อย่างไรก็ตาม ซึ่งความเสี่ยงการใช้ก๊าซเป็นเรื่องใหญ่ต้องแก้ระยะยาว แต่ระยะสั้น ความจำเป็นต้องใช้ไฟประเทศต้องมีอยู่ การใช้ก๊าซธรรมชาติอีก 5,400 เมกะวัตต์ นั้น ไม่ใช่จะจ่ายไฟได้ทันที แต่ต้องรอ 7 - 10 ปี อีกทั้งยังมีโครงการอื่นๆ ด้วยทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งกำลังจัดหาแหล่งที่ตั้ง แห่งแรก จ.กระบี่ แต่มีการต่อต้านการสร้าง นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมลงทุนต่างประเทศมากขึ้นเพื่อนำมาจำหน่ายในประเทศ ทั้ง พม่า และ ลาว ซึ่งถ้าสองแหล่งนี้สำเร็จสัดส่วนจากการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซก็จะลดลงต่ำก่วา 50 %
นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงงาทดแทนนั้น มีการวางแผนผลิตไบโอแก๊สใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะผลิตได้ถึง 1 หมื่นเมกกะวัตต์ ทำให้สัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติลดลง โดยไม่จำเป็นต้องลดการใช้ก๊าซเพียงแต่เพิ่มสัดส่วนการผลิตอย่างอื่นแทน เเช่นการผลิตจาก หญ้าเนเปียร ที่คำนวณแล้วค่าใช้จ่ายไฟฟ้าต่อหน่วย 4.50 บาท โดย ปัจจุบันค่าไฟฐานอยู่ที่ 3.72 บาท ถ้ามีการปรับค่าเอฟทีปีนี้50 สต. สองปี ก็จะเกิน 4.50 บาท ดังนั้นจะทำให้ไฟฟ้าจากไบโอกาซถูกกว่าที่ผลิตเดิม