posttoday

ผู้ตรวจฯจี้"ปู"แจงปมออกพาสปอร์ตแม้ว

14 กุมภาพันธ์ 2556

ผู้ตรวจการฯ ยื่นหนังสือถึง นายกฯ จี้แจงปม กต.ออกพาสปอร์ตให้ "ทักษิณ" ภายใน 30 วัน ชี้ระเบียบไม่ให้อำนาจ รมว.ตปท. ออกหนังสือเดินทาง

ผู้ตรวจการฯ ยื่นหนังสือถึง นายกฯ จี้แจงปม กต.ออกพาสปอร์ตให้ "ทักษิณ" ภายใน 30 วัน ชี้ระเบียบไม่ให้อำนาจ รมว.ตปท. ออกหนังสือเดินทาง

นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับ บัญชา เพื่อให้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณากรณีการออกหนังสือเดิน ทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 และให้รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือ

นายรักษเกชา กล่าวต่อว่า ภายหลังนายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้ ยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาหาข้อเท็จจริงกรณีกระทรวงการต่าง ประเทศออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเห็นว่า เป็น การไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบแล้วก็ได้มีหนังสือถึงปลัด กระทรวงต่างประเทศขอให้มีการพิจารณาทบทวนการออกหนังสือเดินทางดังกล่าวเพราะ เห็นว่าข้อมูลที่กระทรวงการต่างประเทศใช้พิจารณาในการอนุมัติหนังสือเดินทาง ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นข้อมูลเก่าก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำ พิพากษาสั่งจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ และพ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีจนชื่อถูกขึ้นบัญชีต้องห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แต่ กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกลับมาว่า กรณีการออหนังสือออกหนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริตคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่บุคคลดังกล่าวตามที่รมว.ต่างประเทศได้มีข้อวินิจฉัยและคำสั่งเมื่อวันที่25 ต.ค. 54 ว่านโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่า การคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ ตามข้อ 23(7)ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ จึงยกเลิกคำสั่งในเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว และให้ออกหนังสือเดินทางบุคคลทั่วไปให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ

นายรักษเกชา กล่าวด้วยว่า จากคำชี้แจงดังกล่าวของกระทรวงต่างประเทศทำให้ผู้ตรวจฯเห็นว่า ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องคำนึงถึง สำหรับประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ใน ครั้งนี้ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดิน ทางให้ตามข้อ21 ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ หรือไม่ เพราะเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองออกหมายจับ เป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักรเว้น แต่ได้รับอนุญาตจากศาล และเป็นบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางออกนอกประเทศตามฐานข้อมูลกระทรวง การต่างประเทศ ซึ่งพบว่ากระทรวงการต่างประเทศมิได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณา แต่กลับอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเดิมเมื่อปี41 ก่อนที่ศาลฎีกาฯจะมีคำพิพกษา

ดังนั้นที่กระทรวงต่างประเทศพิจารณาว่า การออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายที่กระทรวงจะใช้ดุลยพินิจปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง ตามข้อ 21ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ ว่า จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่อาจคลาดเคลื่อนไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็น อยู่ในขณะพิจารณาคำขอหนังสือเดินทาง

ส่วนที่กระทรวงต่างประเทศอ้างว่า รมว.ต่างประเทศระบุว่านโยบายรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศต่อไป ของผู้ขอหนังสือเดินทางรายนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่าง ประเทศนั้น เห็นว่า รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการมีหน้าที่กำหนดนโยบายกระทรวงที่สอดคล้องนโยบาย ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด แต่ นโยบายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบราชการที่มีอยู่ ซึ่งระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548มิได้กำหนดให้รมว.ต่างประเทศ มีอำนาจดำเนินการในเรื่องนี้ได้โดยตรงไว้เป็นการเฉพาะ

การใช้ดุลพินิจของปลัดกระทรวงการต่างประเทศหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบ หมายในการพิจารณาคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามระเบียบกระทรวง ต่างประเทศฯ และแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ ซึ่งแม้นโยบายของรมว.ต่างประเทศในเรื่องนี้จะสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก้ไม่เพียงพอที่จะหักล้างข้อมูลที่ว่าศาลฎีกาฯมีคำ พิพากษาจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ และศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งหนังสือเดินทางเป็นเอกสารราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงต่างประเทศ

"เพื่อเป็นการประสานประโยชน์ของราชการต่อการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทางอาญาของศาลและตำรวจ กระทรวงการต่างประเทศสมควรต้องตรวจสอบไปยังหน่วยราชการดังกล่าวเสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบันและเป็นการขอคำยืนยันสถานะบุคคลและ คดีว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ขอหนังสือเดินทางเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ออกหมายจับไว้ และยังต้องการตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณต่อไป"นายรักษเกชา กล่าว

นอกจากนี้ผู้ตรวจฯยังได้เสนอกระทรวงการต่างประเทศให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไข ระเบียบดังกล่าว เนื่องจากในการพิจารณาปฏิเสธ ยับยั้ง ยกเลิก หรือเรียกคืนหนังสือเดินทาง กำหนดให้เป็นดุลพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงอาจเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตีความไปในทางที่อาจก่อให้เกิด ความไม่เป็นธรรม หรือความไม่เสมอกันในกฎหมาย หรือเป็นการเลือกปฏิบัติได้ โดยในข้อ 21(2) ที่กำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธ หรือยับยั้งการขอ หรือแก้ไขหนังสือเดินทาง ในกรณีเมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้ แต่ในทางปฏิบัติศาลหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเท่านั้น ไม่อาจมีความเห็นเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางแต่อย่างใด

ดังนั้น หากกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาโดยตีความอย่างเคร่งครัดว่า กรณีที่จะเข้าข่ายข้อกำหนดดังกล่าวจะต้องได้รับแจ้งจากศาลหรือตำรวจว่าไม่ ควรออกหนังสือเดินทางให้แก่ผู้ร้องขอเท่านั้น ก็อาจเป็นเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ใช้อำนาจตามระเบียบฯ ดังกล่าว ปฏิเสธหรือยับยั้งการออกหนังสือเดินทางให้แก่ผู้ร้องขอหนังสือเดินทางตามข้อ 21(2) แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องขอหนังสือเดินทางเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว หรือศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกบุคคลดังกล่าวแล้วก็ตาม ซึ่งไม่น่าจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของระเบียบดัง กล่าวที่กำหนดให้ พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยกเลิกหนังสือเดินทางเมื่อพบว่า ผู้ร้องขอเป็นผู้ไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้

เมื่อถามว่า นายกฯเป็นน้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ หวังแค่ไหนที่จะให้สั่งกระทรวงต่างประเทศทบทวน นายรักษเกชา กล่าวว่า เชื่อว่าโดยหน้าที่รับผิดชอบนายกฯคงใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าว ดำเนินการตามกำหมายหรอืไม่ เพราะท่านเป็นนายกของประเทศ ผู้ตรวจไม่ได้พิจารณาว่าคนนั้นนามสกุลเดียวกับคนนี้แล้วจะไม่ส่งไป แต่หากส่งไปที่นายกแล้วกระทรวงการต่างประเทศยังไม่มีการทบทวนตามขั้นตอนผู้ ตรวจฯก็จะรายงานต่อไปที่รัฐสภา และเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ต่อสาธารณชนให้ทราบว่าเรื่องดังกล่าวตามระเบียบของกระทรวงประเทศมีข้อห้าม อะไรอยู่บ้าง