ศิริโชคปัดซุกหนี้บัญชีทรัพย์สิน
"ศิริโชค"โต้ "เรืองไกร" ปัดซุกหนี้ แจงยิบปรับโครงสร้างหนี้ 119 ล้าน ก่อนมาร์คเป็นรัฐบาล
"ศิริโชค" โต้ "เรืองไกร" ปัดซุกหนี้ แจงยิบปรับโครงสร้างหนี้ 119 ล้าน ก่อนมาร์คเป็นรัฐบาล
นายศิริโชค โสภา สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสว. ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนั้น ถือเป็นการได้ข้อมูลเอกสารไม่ครบถ้วน และ ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง มุ่งหวังที่จะนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง อย่างไรก็ตาม นายเรืองไกรออกมาตั้งเป็นคำถามว่ายื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ จึงไม่สามารถนำไปสู่การฟ้องร้องได้
นายศิริโชค กล่าวว่า กรณีแรกหนี้ 119 ล้านบาท เป็นหนี้ของครอบครัว ซึ่งตนเองเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งต่อมาเมื่อ มีการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้หลักกับ กองทุนรวมไทยรีสตรัคเจอริ่ง ซึ่งมีธนาคารเกียรตินาคิน เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมกับนำทรัพย์สินออกมาขายทอดตลาดให้บุคคลภายนอกเพื่อเป็นการชำระหนี้ตาม สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ภาระในการค้ำประกันก็หมดไป
ทั้งนี้ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2551 ช่วงเวลาก่อนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมารับตำแหน่งในเดือน ธ.ค.2551ซึ่ง ตนเองได้แนบเอกสารให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงรายละเอียดการปรับโครงสร้างหนี้ 119 แต่นายเรืองไกร มิได้เห็นเอกสารดังกล่าว เห็นเฉพาะใบปะหน้าที่ได้มีการลงในอินเทอร์เนตเท่านั้น ก็เลยทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาดกล่าวหาว่าตนเองซุกหนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่าใด
ส่วนกรณีที่ 2 กรณีหนี้ตามสัญญาฉบับลงวันที่ 8 มิ.ย.2554 เลขที่ บสท.0682/2554 นั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากการค้ำประกัน และยังไม่มีการฟ้องร้องผู้ค้ำประกันเพื่อบังคับให้ชำระหนี้ จึงไม่สามารถลงบัญชีหนี้สินว่าเป็นหนี้ได้ อีกทั้ง การค้ำประกันดังกล่าว ได้มีการชำระหนี้เป็นเงินสดครบถ้วน โดยมีการนำที่ดินในกทม.ของลูกหนี้ออกมาขาย เพื่อชำระให้กับตนเองในฐานะผู้ค้ำประกัน พร้อมทั้งได้มีการโอนที่ดินบางส่วนชำระหนี้ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทฯที่เข้ามาซื้อที่ดิน ตามสัญญาซื้อขายที่ดินลงวันที่ 2 มิ.ย. 2555 เสร็จสิ้นไปตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปี 2555 ทำให้ไม่มีภาระหนี้สินในส่วนของตนที่ต้องมาลงในบัญชีหนี้สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช และเกิดขึ้นก่อนที่จะยื่นบัญชีทรัพย์สินในวันที่ 10 พ.ค. 2555