สว.อัดลอยLPGฉ้อราษฎร์เชิงนโยบาย
สว.อัดลอยตัว LPG อุ้มภาคอุตสาหกรรม ลอยแพ ปชช.ทั้งที่เป็นเจ้าของทรัพยากรก๊าซในปท. รบ.กลับโยนภาระให้แบกราคาเท่าตลาดโลก
สว.อัดลอยตัว LPG อุ้มภาคอุตสาหกรรม ลอยแพ ปชช.ทั้งที่เป็นเจ้าของทรัพยากรก๊าซในปท. รบ.กลับโยนภาระให้แบกราคาเท่าตลาดโลก
น.ส.รสนา โตสิตระกูล สว.กทม. เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนโยบายพลังงานของรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงเชิงนโยบายรัฐบาล จึงขอเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี หรือ การลอยตัวราคา ภายในปี 2556 เนื่องจากนโยบายนี้เป็นการโยนภาระให้กับประชาชน แต่กลับไปโอบอุ้มกลุ่มทุนหรือกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและน้ำมัน
ทั้งนี้จากข้อมูลประเทศไทยพบว่าไทยขุดหรือผลิตก๊าซธรรมชาติใช้เองภายในประเทศ 55% นำเข้า 22% และโรงกลั่นอีก 23% ในขณะที่การใช้ก๊าซภาคครัวเรือน 40% ภาคอุตสาหกรรม 36% จึงเกิดคำถามว่าในเมื่อประเทศไทยขุดก๊าซขึ้นมาใช้เองภายในประเทศซึ่งถือเป็นทรัพย์สมบัติของชาติและประชาชน ดังนั้นเหตุใดต้องให้ประชาชนต้องแบกรับภาระราคาก๊าซตามราคาตลาดโลก
น.ส.รสนา กล่าวการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ที่รัฐบาลประกาศจะเริ่มภายในเดือน ม.ค. 2556 เฉลี่ยเดือนละ 50 สต.ต่อกก. ภายใน 2 ปี เพื่อให้ราคาก๊าซในประเทศเท่ากับราคาตลาดโลก ถือว่าเอาเปรียบประชาชนเพราะภาคครัวเรือน และยานยนต์ที่ถือว่าเป็นเจ้าของประเทศเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นผู้ใช้ก๊าซเพื่อการดำรงชีวิตและอยู่รอดจากภาษีให้กับรัฐ ในขณะที่การใช้ก๊าซภาคอุตสาหกรรมเป็นการใช้ก๊าซเพื่อแสวงหาผลกำไรอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงอยากเสนอให้ปรับขึ้นราคาก๊าซเฉพาะส่วนภาคอุสาหกรรมเท่านั้น
ทั้งนี้รัฐบาลควรทบทวนการขึ้นค่าภาคหลวงปิโตรเลียม เนื่องจากรัฐบาลกำลังจะเปิดสัมปทานหลุมก๊าซเพิ่มขึ้นอีก และที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2532 ยังไม่มีการปรับปรุงค่าภาคหลวงแต่อย่างใด ในขณะที่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 80-120 เหรียญดอล์ล่าสหรัฐฯต่อบารเรล แต่ยังใช้อัตราเดิมอยู่ และหากมีการปรับขึ้นการเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียมจะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มปีละ 3-4 แสนล้านบาทต่อปี โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกพ.ร.ก.กู้เงินฯ เพื่อนำมาจัดทำโครงการป้องกันน้ำท่วม 3 แสนล้านบาท ดังนั้นหาก 2 นโยบายดังกล่าวนี้ทางรัฐบาลยังคงจะเดินหน้าโดยไม่ทบทวน นั้นแสดงว่ารัฐบาลกำลังกระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงเชิงนโยบาย