posttoday

ปชป.เตรียม3แนวทางเอาผิดยงยุทธ

24 กันยายน 2555

ปชป. ยำ "ยงยุทธ" ขาดคุณสมบัติ จี้ลาออก เตรียม ชง 3 ช่องทางเอาผิด ให้ที่ประชุมสส.เคาะพรุ่งนี้

ปชป. ยำ "ยงยุทธ" ขาดคุณสมบัติ จี้ลาออก เตรียม ชง 3 ช่องทางเอาผิด ให้ที่ประชุมสส.เคาะพรุ่งนี้

ปชป.เตรียม3แนวทางเอาผิดยงยุทธ วิรัตน์

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ สส.สงขลา คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย  ว่า ที่ประชุมเห็นว่า กรณีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย ถูก อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ไล่ออกนั้น ไม่สามารถใช้พ.ร.บ.ล้างมลทิน 2550 ได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุว่าต้องกระทำผิดก่อนเดือน ธ.ค. และ จะต้องได้รับโทษ ก่อนเดือน ธ.ค. 50  ดังนั้นแม้กรณีของนายยงยุทธจะทำผิดก่อนเดือน ธ.ค.50  แต่ยังไม่ได้รับโทษเพราะ อ.ก.พ. มีมติไล่ออกเมื่อเดือนก.ย. 2555  ดังนั้นจึงถือไม่เข้าเกณฑ์การล้างมลทิน จึงถือว่าขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง สส. รัฐมนตรี รองนายกฯ

ทั้งนี้  ขอเรียกร้องให้นายยงยุทธ์ลาออก  แต่หากนายยงยุทธไม่ลาออก ทางคณะทำงานเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ 3 ช่องทาง คือ 1. ให้ สส.เข้าชื่อ 1 ใน 10 หรือ ประมาณ 48-49 คนเพื่อ​ยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ส่งส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ 

2. ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา และ   3. ยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ   ซึ่งจะนำทั้งสามทางเลือกนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะ สส.พรรคในวันที่ 25 ก.ย.นี้ ว่าจะดำเนินการตามช่องทางไหนอย่างไร

นายวิรัตน์ กล่าวว่า กรณี ทาง อ.ก.พ.มีความพยายามอธิบายว่า​มติของ อ.ก.พ. มีผลให้ออก ย้อนหลังนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะ หากมีผลย้อนหลัง นายยงยุทธ ก็จะต้องขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถรับเงินบำเหน็จบำนาญ หรือ ไปดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หรือ บอร์ดรัฐวิสาหกิจได้ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าการไล่ออกไม่มีผลย้อนหลัง ​

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าหากในการประชุมครม. วันที่ 25 ก.ย. นายยงยุทธ ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุมครม.แทนน.ส.ยิ่งลักษณ์​ ชินวัตร  นายกฯ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ก็จะถือว่ามีความผิด  ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้นคงต้องรอดูท่าทีในวันที่ 25 ก.ย.อีกครั้งหนึ่ง  

นอกจากนี้กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์​ มอบหมายให้ นายยงยุทธ รักษาการตำแหน่งนายกฯ ในระหว่างที่ไม่อยู่นั้น มีผู้รู้ทางกฎหมายระบุว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157  ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปคงต้องรอดูรายละเอียดอีกครั้ง