posttoday

ดีเอสไอสอบมาราธอนสุเทพ12 ชม.

28 สิงหาคม 2555

ดีเอสไอนำคลิปทหารยิงประชาชนชุดใหม่มาเปิดให้ สุเทพ ดู อ้างยิงใส่ผู้ชุมนุมช่วงกลางวัน 10 เม.ย. เจ้าตัวยันไม่พบมีการยิง

ดีเอสไอนำคลิปทหารยิงประชาชนชุดใหม่มาเปิดให้ สุเทพ ดู อ้างยิงใส่ผู้ชุมนุมช่วงกลางวัน 10 เม.ย. เจ้าตัวยันไม่พบมีการยิง 

เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมงในการให้ปากคำในคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จำนวน 91 ศพ จากเหตุชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 โดยมีพ.ต.อ ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบฯและพนักงานสอบสวนชุดใหม่

นายสุเทพ กล่าวว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้เอง เมื่อออกจากห้องสอบสวนและถูกนักข่าวถามถึงสาเหตุที่ต้องใช้เวลาในการสอบสวนนานมาก โดยนายสุเทพระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอถามเยอะ พร้อมทั้งนำคลิปวีดีโอที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนินตอนกลางวันมาให้ดู และบอกว่าเป็นคลิปที่แสดงให้เห็นว่า ทหารยิงคนเสื้อแดง ซึ่งตนได้ตอบไปว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย.53 มีสื่อมวลชนทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์คอยรายงานสถานการณ์ตลอดขณะมีการขอพื้นที่คืน ไม่พบว่ามีการยิงแต่อย่างใด ส่วนการยิงและมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นช่วงค่ำของวันที่ 10 เม.ย.ดังนั้นเมื่อดีเอสไอนำเอกสารการยอมรับมาให้เซ็นชื่อรับรอง ตนจึงไม่ได้เซ็นชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าว

“คลิปที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำมาให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ เขาอ้างว่าเป็นคลิปที่นำมาจากยูทูป ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ในตอนกลางวัน มีเจ้าหน้าที่ทหารถือปืนเอ็ม 16 และปืนทราโว และในภาพไม่เห็นผู้เสียชีวิต ส่วนวันเวลาที่ระบุอยู่ในคลิป ไม่ได้สังเกตเนื่องจากเขาให้ดูช่วงสอบปากคำดึกแล้ว”นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวว่า นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังซักไซ้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เม.ย.จนถึงเหตุยุติในเดือนพ.ค.มีการถามถึงคำสั่งในการปฎิบัติการ ตนจึงได้นำคำสั่งทั้งหมดมอบให้พนักงานสอบสวนในส่วนที่ตนได้ลงนาม และได้บอกกับพนักงานสอบสวนว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอได้เคยเสนอและแนะนำในที่ประชุมศอฉ.ในขณะนั้นว่า สถานืการณ์รุนแรงอาจต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งการประกาศครั้งนั้นเป็นไปตามกฎบัตรของสหประชาชาติในการใช้กำลังโดยมี อัยการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับทราบตลอด อีกทั้งทางฝ่ายผู้ชุมนุมได้มีการใช้อาวุธ

“พนักงานสอบสวนถามว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาสั่งการให้ศอฉ.หรือไม่ ผมก็ชี้แจงว่า อดีตนายกฯมีภารกิจมาก ได้มอบหมายคำสั่งในเชิงนโยบาย ซึ่งผมในฐานะผอ.ศอฉ.จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างไร เช่น การขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินเพื่อเปิดทางจราจรจากสะพานพระราม จนถึงสะพานพระราม 9 เพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้  ซึ่งผมก็ถามนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ต้องการขอคืนพื้นที่หมดทั้งเส้นราชดำเนินหรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะยังมีพื้นที่ให้ผู้ชุมนุมสามารถใช้ได้ และรถสามารถใช้สัญจรได้ จึงขอคืนพื้นที่บริเวณสี่แยกจปร.ด้านถนนราชดำเนินนอก  และถนนราชดำเนินกลางบริเวรอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมก็ชี้แจงให้เขาฟังจนเข้าใจ”นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังถามถึงการปฎิบัติหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุ การณ์ใดหรือไม่ ตนได้ชี้แจงว่าอดีตนายกฯใช้เวลาส่วนใหญ่รับฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่ และพยายามหาแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ เช่น การเจรจา การนำทีมเจรจาไปเจรจากับแกนนำนปช. และมีหน้าที่อธิบายสถานการณ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งติดต่อกับองค์กรสิทธิมนุษยชน โดยงานในศอฉ.นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคำสั่งในศอฉ.ตนเป็นผู้ลงนาม

โดยความชัดเจนของพนักงานสอบสวนจะซักถามเรื่องการสลายการชุมนุม การให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ การกระชับพื้นที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งตนยืนยันไปว่าเหตุการณ์วันนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุม เพราะขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินีก็ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธตอบโต้  ส่วนเหตุการณ์ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ไม่มีกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปที่หน้าเวทีหรือบริเวณที่ยังมีการชุมนุมกันอยู่ ต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์รอบนอก แกนนำผู้ชุมนุมจึงได้สั่งยุติการชุมนุมและมอบตัวกับเจ้าหน้าที่

“เรื่องชายชุดดำ ที่ผมนำคลิปมาชี้แจง พนักงานสอบสวนถามผมว่า หากมีชายชุดดำเข้าร่วมจริง มีผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธทำรายประชาชน ไม่เห็นเจ้าหน้าที่จับใครได้ซักคน ผมเลยตอบเขาว่า คุณถามผมเหมือนกับเสื้อแดงเขียนคำถามให้มาถามผมเลย ผมก็อธิบายให้เขาฟังว่าชายชุดดำมีจริง และดีเอสไอได้ส่งฟ้องศาลแล้วขณะนี้คดีอยู่ที่ศาล อย่างไรก็ตามหากมีคนตายอยู่ในพื้นที่ควบคุมของผู้ชุมนุมจริง เราจะทราบว่าเขาตายก็ต่อเมื่อได้รับแจ้งจากศูนย์นเรนธรของกระทรวงสาธารณสุข และหากผู้ตายเป็นผู้ก่อการร้ายชุดดำจริง อาจจะมีคนปลดอาวุธให้เขาไปหมดแล้วก่อนจะนำส่งโรงพยาบาล”นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า ในคดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอสอบสวนเสร็จจนส่งอัยการ มีผู้ต้องหา 26 คน จำนวนนี้มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและแกนนำนปช.ถูกตั้งข้อกล่าวหาในฐานผู้ก่อการร้ายด้วย โดยจำนวนนั้นมีหลายคนเป็นผู้ก่อการรายและเป็นชายชุดดำ หลายคนให้การรับสารภาพว่า เขาได้รับการฝึกอาวุธจากต่างประเทศ เป็นกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก และยังเอาปืนทราโว่ยิงใส่โรงแรมดุสิตธานี บางคนเอาปืนเอ็ม 79 ไปยิงที่นั่นที่นี่ ซึ่งมีอยู่ในรายงานของดีเอสไออยู่แล้ว แต่การที่พนักงานสอบสวนชุดนี้ระบุว่าไม่มีข้อมูลชายชุดดำ เข้าใจว่า พนักงานสอบสวนชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่เคยมีการสอบสวนไว้เดิม

นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้เสียกำลังใจและทำใจได้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งต้องเจอภาวะอย่างนี้ ตนยังได้ย้ำกับพนักงานสอบสวนว่าสมัยที่เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงก็ได้ช่วยให้ดีเอสไอได้รับการอนุมัติให้เปิดตำแหน่งเพิ่มเติม ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการทำงานของดีเอสไอและตำรวจ ก็หวังว่าหน่วยงานนี้จะทำคดีให้ถูกต้องเที่ยงธรรม ความจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรคอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร ได้ตรวจสอบแล้ว เพื่อวันข้างหน้าประชาชนจะได้ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า บรรยากาศในการสอบปากคำเป็นอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ธรรมดา ตนก็พยายามตั้งใจตอบให้ตรงคำถาม

เมื่อถามว่า หลังให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนแล้วยังเชื่อมั่นในการทำงานของดีเอสไอหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เชื่อมั่นในระบบ และองค์กร ส่วนตัวบุคคลเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หัวหน้าพนักงานสอบสวนถามว่า ตนเคยมีเรื่องโกรธแค้นใครในศอฉ.หรือไม่ จึงได้ตอบไปว่าในอดีตไม่เคยโกรธเคืองใคร แต่ในอนาคตไม่แน่