posttoday

ถวิลยันศอฉ.สั่งสลายม็อบปี53ยึดกม.

23 สิงหาคม 2555

ถวิลยัน ศอฉ. สั่งสลายม็อบปี 53 ยึดกฎหมาย ชี้ศาลวินิจฉัยแล้วการชุมนุมไม่ชอบด้วยกม. ย้ำเจ้าหน้าที่ต้องรักษาสิทธิคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ถวิลยัน ศอฉ. สั่งสลายม็อบปี 53 ยึดกฎหมาย ชี้ศาลวินิจฉัยแล้วการชุมนุมไม่ชอบด้วยกม. ย้ำเจ้าหน้าที่ต้องรักษาสิทธิคนส่วนใหญ่ของประเทศ

นายถวิล เปลี่ยนสี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช. ในฐานะอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. แถลงเปิดใจหลังจากเห็นว่า ข้อมูลในการทำงานของศอฉ. ที่มีการบิดเบือนสับสนว่า ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. ในเดือนพฤษภาคม 2553 ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ออกมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามหน้าที่ เพื่อระงับเหตุการณ์รุนแรงจากการชุมนุมประท้วงที่ไม่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่จะต้องค้นหาความจริง และให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่นำเรื่องทั้งหมดมากล่าวหาว่ามีการสั่งการเจ้าหน้าที่ติดอาวุธสไนเปอร์ไปฆ่าประชาชน คิดว่าเป็นการกล่าวหาเจ้าหน้าที่โดยไม่เป็นธรรม

"ผมยืนยันว่าไม่ได้แก้ต่างให้ศอฉ. การทำงานขณะนี้ได้ยึดกฎหมาย ยึดหลักสากลในการทำงาน เป็นการออกคำสั่งโดยมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นของการสอบสวน ยังไม่มีการกล่าวหาแต่ขณะนี้มีการกล่าวหานอกศาลว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน"นายถวิลกล่าว

ขณะที่ การทำงานของศอฉ. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผอ.ศอฉ. เป็นการตั้งในรูปแบบของคณะกรรมการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับปลัดกระทรวงเข้าเป็นคณะกรรมการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ โดยมีการประชุมหารือร่วมกันทุกวัน ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งอธิบดีดีเอสไอก็ได้มีการเสนอในหลายเรื่องเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของศอฉ. ขณะเดียวกัน การมอบหมายสั่งการผอ.ศอฉ. จะสั่งการเจ้าหน้าที่โดยตรงไม่ได้ จะเป็นการมอบหัวหน้าหน่วยไปออกแผนปฏิบัติในคำสั่งตามยุทธการ ซึ่งทุกครั้งคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ส่วนเรื่องคำสั่งนั้นได้ยึดหลักกฎหมาย ยึดระเบียบทางราชการ ซึ่งได้กำชับไปยังเจ้าหน้าที่ให้ระมัดระวังความสูญเสียให้มากที่สุด ซึ่งคำสั่งที่รั่วไหลออกมาทางสื่อนั้นยังไม่เห็นความผิดพลาด หรือผิดปกติ ลุแก่อำนาจ หรือสั่งให้ฆ่าประชาชน โดยเห็นว่าไม่ควรจะรั่วไหลออกมา เพราะเป็นคำสั่งปฏิบัติของหน่วยงาน ทั้งนี้เห็นว่าศอฉ. จะต้องมีการรับผิดชอบร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ ซึ่งทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย

นายถวิลกล่าวว่า เรื่องของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมว่า ข้อเท็จจริงนั้นมีเพียงข้อเท็จจริงเดียว วันเวลาผ่านไปจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง โดยเหตุการณ์นั้นเจ้าหน้าที่ได้ออกมาเพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อระงับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำวินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้วว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดำเนินตามกฎหมายได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักสากล หากเจ้าหน้าที่ไม่ออกไปในสถานการณ์แบบนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก

"เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโดยความรู้สำนึกผิดชอบชั่วดี เจ้าหน้าที่หลายคนด้วยซ้ำไปไม่ได้สบายใจในการออกไปทำงาน แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องรักษาสิทธิของคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งการถูกกล่าวหาว่าทำเกินกว่าเหตุ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านั้นควรได้รับความยกย่องสรรเสริญมากกว่าที่จะก่นด่าว่าฆ่าประชาชน"นายถวิล กล่าว

ส่วนประเด็นชายชุดดำที่หลายฝ่ายยังกังขาและยังไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ นายถวิล กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเองได้พูดหลายครั้งแล้วแต่มีประเด็นอื่นๆ มากลบ ทำให้ประเด็นชายชุดดำถูกมองข้าม ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการจับกุมผู้กระทำความผิด แต่ทราบว่าได้รับการประกันตัวเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้นายถวิลปฏิเสธที่จะวิพากวิจารณ์การทำหน้าที่ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ที่ถูกมองว่าเปลี่ยนจุดยืนในการทำหน้าที่ โดยระบุว่า ส่วนตัวก็ให้กำลังใจในการทำงาน เพราะเห็นว่านายธาริตเป็นมืออาชีพในการทำงาน ซึ่งในช่วงที่นายธาริตทำงานใน ศอฉ.ก็ได้ให้คำแนะนำในหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ในขณะนั้น และเชื่อว่าการทำหน้าที่ของนายธาริตในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ต้องรักษาความยุติธรรม ก็คงจะไม่ละทิ้งความยุติธรรม

นายถวิล กล่าวว่า ข้อมูลในเรื่องนี้ได้เปลี่ยนไปตามรัฐบาล แต่ยืนยันว่าตนเองจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความรับผิดชอบ จะไม่ยอมทำงานเพื่อรักษาตำแหน่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้นตนเองคงไม่มาทำงานในจุดนี้ พร้อมทั้งฝากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องทำงานโดยยึดหลักจริยธรรม ซื่อสัตย์ และอย่าทำเรื่องผิดให้กลายเป็นถูก