เฉลิมถกโกงจำนำข้าว-งบน้ำท่วม,ท้องถิ่น
เฉลิมเรียก สตช.-ดีเอสไอเเละปปท.มารับทราบคำสั่งสอบสวนทุจริตจำนำข้าว งบน้ำท่วมเเละงบท้องถิ่นตามคำสั่งนายกฯหลังยิ่งลักษณ์ได้รับข้อร้องเรียน
เฉลิมเรียก สตช.-ดีเอสไอเเละปปท.มารับทราบคำสั่งสอบสวนทุจริตจำนำข้าว งบน้ำท่วมเเละงบท้องถิ่นตามคำสั่งนายกฯหลังยิ่งลักษณ์ได้รับข้อร้องเรียน
เวลา13.00น.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตการรับจำนำข้าว การเยียวยา ฟื้นฟูและป้องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบปราณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อมอบนโยบายทั้งสามด้านตามคำสั่งนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
รองนายกฯกล่าวว่า ตนไม่อยู่ใต้บาทาสื่อมวลชน เพราะตนไม่ได้ทุจริต ตนเคยบอกนายกฯว่าอย่าแต่งตั้งตนในตำแหน่งนี้เพราะถ้าแต่งตั้งตน ตนจะเอาจริง ไม่ทุจริตและสื่อมวลชนไม่ชอบ หากตนทำงานตรงนี้บอกกับทุกคนในที่นี่ว่าอย่ากลัวและต้องเสียสละ สตช.ดีเอสไอและปปท. เพราะนส.ยิ่งลักษณ์ได้เบาะแสสามเรื่องนี้ว่าทุจริตโดยเฉพาะจำนำข้าวและมีการส่งรายงานถึงนายกฯโดยบอกว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เช่นความจริงรับจำนำข้าว12,000บาท แต่กลับระบุกลับมาว่าเป็นการรับจำนำราคา15,000บาท ใบประทวนปลอม ใบประทวนจริง รวมทั้งการรับจำนำข้าวที่อีสานแต่อ้างว่านำข้าวมาจากภาคกลาง เงินเยียวยาน้ำท่วม1.2แสนล้านบาทเพราะมีการแจกเงินเยียวยาที่แตกต่างกันมาก รวมทั้งงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องนี้ ตำรวจไม่มีงบในมือ แต่ผู้ว่าฯงบเยอะ ตอนที่ตนเป็นรมว.มหาดไทย มีหลายคนมายืนหน้าสลอนบอกกับตนว่ามีงบดูแล แต่ตนไม่เอาแม้แต่บาทเดียว ใครที่โกงก็ติดคุก ใครที่คิดขอให้เลิกเสีย ส่วนงบประมาณนั้นไม่ต้องห่วง
รองนายกฯกล่าวว่า งานนี้เป็นงานใหญ่ ขออนุญาตว่าขอตั้งพ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมเป็นโฆษกคณะกรรมการชุดนี้ และขอให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษนำโครงสร้างคณะกรรมการชุดนี้แจกจ่ายสื่อมวลชน ย้ำว่าหากตนทุจริตแม้แต่บาทเดียวขอให้พบความวิบัติ การทำงานนี้องคาพยพสำคัญคือสามหน่วยงานข้างต้น เพราะตนคนเดียวคงทำไม่ได้ และไม่สำเร็จ แม้ใครดูหมิ่นเรื่องนี้ก็ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ วันนี้คนที่โกงจะคิดหนัก เพราะวงการการเมืองมักจะรู้ว่าตนพูดไม่รู้เรื่อง และโดนด่าว่ารู้ทุกเรื่องเว้นเรื่องของตัวเอง รวมทั้งรู้ทุกภาษาเว้นแต่ภาษาไทย ตรงนี้หากจะจับคนโกงต้องอย่าให้มันรู้ตัว
“และครม.บางส่วนบอกไม่ควรแต่งตั้งและตนขอนายกฯสามครั้งว่าอย่าแต่งตั้งตน แต่นายกฯไม่ยอม การสอบสวนสามเรื่องนี้ขอบอกว่า พวกเราหากรู้การทุจริตของส่วนราชการด้วยกันก็ไปตรวจสอบเลย มันแตกต่างกับปปช.ที่ต้องมีคนร้องเรียนจึงตรวจสอบได้”รองนายกฯกล่าวและว่าตนรับผิดชอบกรรมการชุดนี้คนเดียว ในพื้นที่ตำรวจภาค9นั้นทราบมาว่า บางคนสร้างภาพดี แต่ความจริงนั้นการสร้างกระเช้าราคาสี่สิบล้านบาท แต่กลับจัดซื้อจัดจ้างกันราคาหนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท วันนี้จะปั่นป่วนทั้งประเทศสำหรับคนโกง ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติไม่ไว้วางใจตนในข้อหาน่าหมั่นไส้ และนายธาริตโดนข้อหาตรงไปตรงมา
“ครั้งนี้คือครั้งแรกตั้งแต่ที่มีรัฐบาลในประเทศเพราะครม.แต่งตั้งคนในรัฐบาลตรวจสอบกันเอง”รองนายกฯกล่าวและว่า ขอให้แข่งขันกันทำงานและจะเป็นผลงาน
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า ตนกับพล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษาสบ.10สตช.ได้หารือในเรื่องนี้ต่อจากคำสั่งของนายกฯ โดยเห็นพ้องว่า วันนี้รองนายกฯได้ลงนามคำสั่งสำคัญคือ แบ่งพื้นที่ปฏิบัติการเป็น11ภาคตามโครงสร้างของสตช. โดยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคเป็นประธานอนุกรรมการในพื้นที่เช่น ตรวจสอบป้องกันปรามปรามในสามเรื่องข้างต้น ยุทธศาสตร์คือใช้พื้นที่สตช.เป็นศูนย์ปฏิบัติการหลัก โดยดีเอสไอจะส่งผู้บริหารระกับสูงมาช่วยงานนี้ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งทางการบริหารราชการแผ่นดิน ตำรวจรับผิดชอบพื้นที่ภาค อีเอสไอเป็นพนักสองานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร ปปท.เอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐทั่วราชอาณาจักรและยังมีอำนาจพิเศษตามกฎหมายพิเศษและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย เพราะสามเรื่องเกี่ยวกับการฮั้วประมูลและเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ทุกคนมีอำนาจหน้าที่พนักงานสอบสวน หากละเว้นจะมีปัญหาต่อการทำงานทันที
นายธาริต กล่าวว่า สามเรื่องนี้มีการกระทำความผิดจริงและสัมผัสได้ เพราะส่วนราชการทุกหน่วยต้องไม่มีการกระทำความผิดตามคำสั่งที่รองนายกฯลงนาม เพราะมันคือใบสั่งเปิดประตูของท้องถิ่นที่ต้องทราบ ให้ความร่วมมือและไม่กระทำผิดเสียเอง โดยเรื่องแรกคือการรับจำนำข้าวนั้น ควรที่จะส่งตำรวจไปประจำโรงสีตั้งแต่หน้าโรงสีเลย อย่างน้อยสะท้อนความจริงจังในการทำงานและสามหน่วยงานไปตกลงแบ่งงานกัน โดยใช้การตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งในวันนี้ สามหน่วยงานต้องรายงานส่วนกลางก่อน และในพื้นที่ควรมีตู้ปณ.และโทรศัพท์เลขพิเศษ โดยต้องติดตามทั้ง11ภาคในการทำงาน หากมีผลงานขอให้รัฐบาสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วย
ด้านพล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษาระดับ10 สตช.กล่าวว่า สิ่งที่คาดว่าจะเกิดจากการทำงานเชิงรุกคือ จุดรับจำนำ917โรงสีทั่วประเทศ หากส่งตำรวจไปสองพันกว่านายในโรงสีเหล่านี้เพื่อช่วยชาวนา รวมทั้งตั้งตู้ปณ.และหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมา ทั้งนี้ขอเสนอการตั้งคณะอนุกรรมการในการสืบสวนสอบสวนในแต่ละพื้นที่ และการใช้งานลูกน้องนั้นขอให้พื้นที่เสนอรายชื่อเข้ามาเพื่อเรียกประชุมในวันที่6สค.ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยควรส่งตำรวจไปฝึกหัดการชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นของข้าวที่หน้าโรงสี และควรรวจสอบการระบายข้าวที่โรงสีมักจะนำข้าวรับจำนำไปขายก่อนเพราะได้ราคดี จากนั้นจะนำข้าวเก่าเวียนเทียนมาจัดเก็บป้องกันการตรวจสอบนั่นเอง