posttoday

20 ปี สสส. (จบ)

22 ธันวาคม 2564

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*************

สสส. ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว 20 ปี มีเรื่องราวมากมายที่สามารถสรุปเป็นบทเรียน และใช้เป็นแนวทางสำหรับดำเนินการต่อไปในอนาคต ซึ่งบทเรียนต่างๆ มีได้มากมาย จะขอเสนอในที่นี้ เพียง 3 เรื่อง

เรื่องแรก  เป็นข้อคิดจากมหาตมะคานธี ที่กล่าวถึง “ขบวนการ” ต่อสู้กู้เอกราชของท่านว่า ขบวนการทั้งหลายจะมีพัฒนาการ 5 ขั้น

ขั้นแรก  การก่อร่างสร้างตัว เป็นช่วงที่คนยังไม่รู้จัก ทั้งผู้ที่จะเข้ามาร่วมขบวนการ และผู้ที่จะเป็นศัตรูต่อไปในอนาคต ขั้นตอนนี้ ผู้คนทั่วไปจะไม่ให้ความสนใจนัก ขบวนการจึงมีโอกาสฟูมฟัก และพัฒนาการสู่ขั้นต่อไป   

ขั้นที่ 2  คนจะเริ่มระแวง ต้องสร้างความเข้าใจ พิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้คนรู้จัก เชื่อถือ และเข้าร่วม ขั้นตอนนี้ขบวนการจะต้องใช้ความวิริยะ อุตสาหะ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้ได้รับความน่าเชื่อถือ และขจัดข้อเคลือบแคลงระแวงสงสัยให้หมดไป หรือเหลือน้อยที่สุด

ขั้นที่ 3  ศัตรูจะหาทางทำลาย ซึ่ง สสส. ก็ผ่านเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว ศัตรูของขบวนการกู้เอกราชของมหาตมะ คานธี คือ อังกฤษเจ้าอาณานิคม ศัตรูสำคัญ ของ สสส. คือธุรกิจบุหรี่ จะพยายามใช้กลอุบายทั้งไม้แข็ง ไม้นวม ตลอดจนเล่ห์กลต่างๆ ทำลาย สสส.

ขั้นที่ 4  ขบวนการจะเข้มแข็งขึ้น ทำให้มีคนเข้ามาแสวงหาประโยชน์ จะต้องระมัดระวัง การแสวงหาผลประโยชน์มีได้ทั้งจากภายในและภายนอก ที่ สสส. เผชิญมาอย่างหนัก คือ การใช้อำนาจของผู้มีอำนาจโดยตรง และการซ่อนพรางในรูปแบบต่างๆ ทั้งการใช้อำนาจรัฐ เช่น การมุ่งตรวจสอบในลักษณะจับผิด และให้ข่าวร้ายเกินอำนาจหน้าที่ที่องค์กรตรวจสอบพึงกระทำ และความพยายามเขียนไว้ในร่างรัฐธรรมนูญโดยการซ่อนพราง เพื่อให้ สสส. สิ้นสภาพไปโดยอัตโนมัติ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีผลบังคับใช้ เคราะห์ดีที่มีคนที่ “ตามทัน” และเปิดโปงเสียก่อน ทำให้ สสส. และอีกหลายองค์กรที่มีลักษณะเดียวกัน ยังมีชีวิตรอดอยู่ต่อมาได้

ขั้นที่ 5  โดยธรรมชาติ ในขั้นตอนสุดท้าย ขบวนการจะเดินมาสู่ทาง 2 แพร่ง แพร่งแรก  คือ สามารถดำรงสถานะเป็น “ขบวนการ” (movement) ที่ทำงานเพื่อเป้าหมาย คือ อุดมการณ์ที่องค์กรก่อกำเนิดและต้องการบรรลุ แพร่งที่สอง คือ ขบวนการแปรธาตุเปลี่ยนสีเป็นสถาบัน (Establishment) ที่มุ่งทำงานเพื่อรักษาสถานะและชื่อเสียงของตนเอง มิใช่เพื่อประชาชน

คงไม่ต้องบอกว่า สสส. ควรเดินไปทางไหน แต่องค์กรโดยมาก มัก “ตกหลุมพราง” ของตนเอง มุ่งสร้างอาณาจักรให้เติบโต “ยิ่งใหญ่” ขึ้นเรื่อยๆ  และ “หลงระเริง” กับชื่อเสียงเกียรติยศ หรือคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ จนลืมว่าแท้จริงแล้วองค์กรกำเนิดขึ้นมาเพื่อบรรลุอุดมการณ์ใด

การ “ตกหลุมพราง” คือ การกลายสภาพเป็น “สถาบัน” ที่มุ่งทำงานเพื่อสถาบัน แทนที่จะมุ่งทำงานเพื่อเป้าหมายหรืออุดมการณ์ที่ทำให้องค์กรก่อกำเนิดขึ้น ปัญหานี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพึงระมัดระวังอย่างยิ่ง

เรื่องที่สอง  มีหนังสือเล่มหนึ่งของมาร์กาเร็ต มีด นักมนุษยวิทยาที่มีชื่อเสียงมากในอดีตของสหรัฐ เขียนไว้นานแล้ว และแปลเป็นภาษาไทยแล้วในชื่อ “เกวียนอพยพและดวงดารา” เล่าถึงการสร้างชาติของพลเมืองสหรัฐ  ที่บุกเบิกพื้นที่ประเทศจากริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก จนสามารถครอบครองไปจรดฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกได้ ด้วยเกวียนอพยพ โดยมีดวงดาราเป็นเครื่องนำทาง เมื่อสามารถขยายอาณาเขตเพิ่มขึ้น ดวงดาวบน ผืนธงก็เพิ่มขึ้นๆ

มาร์กาเรต มีด สรุปความสำเร็จของการสร้างชาติสหรัฐจนยิ่งใหญ่ว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ  ได้แก่ (1) หีบบัตรเลือกตั้ง (2) ศาลที่ยุติธรรม  (3) ความเป็นชุมชน

สองปัจจัยแรก กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ และความเข้มแข็งของผู้นำประเทศ โดยเฉพาะบรรดารัฐบุรุษ และนักวิชาการในสาขาต่างๆ ปัจจัยที่สามสร้างโดยประชาชน เป็นหลัก สสส. คงมีบทบาทได้บ้างใน 2 เรื่องแรก แต่มีบทบาทได้มากในเรื่องที่ 3

สสส.จะทำบทบาทนี้ได้ สสส. ต้องคงความเป็นขบวนการไว้ให้ได้ และต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคประชาสังคมให้ได้อย่างแท้จริง มิใช่สร้างความเข้มแข็งของ สสส. เท่านั้น

เรื่องที่สาม ปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทย คือช่องว่างในสังคม ทั้งช่องว่างแห่งความเจริญระหว่างเมืองกับชนบท และช่องว่างระหว่างคนมีมาก และคนมีน้อย หรือไม่มี

ที่ผ่านมา สสส. ค่อนข้างเก่งในการทำงานกับคนในเมือง และกับคนชั้นกลาง แต่ยังค่อนข้างรู้น้อยเกี่ยวกับคนชั้นล่างและคนยากจน สสส. ต้องปิดจุดอ่อนนี้ สร้างความรู้ความเข้าใจคนชั้นล่าง โดยเฉพาะคนในชนบทและคนยากจนให้มากขึ้น เพื่อลดช่องว่างในสังคมลงให้ได้

ต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายของ “ประเทศไทย 4.0” มี 3 ข้อ คือ (1) สร้างความรู้และนวัตกรรม (2) กระจายความเจริญ และ (3) ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สสส. ต้องมีบทบาท โดยเฉพาะเพื่อเป้าหมายข้อ (2) และ ข้อ (3) คือ ต้องมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับชนบท แทนที่จะทำงานกับคนชั้นกลางในเมือง และข้อสำคัญต้องมุ่งให้ความสำคัญมากขึ้นกับคนที่ด้อยโอกาส เพื่อมิให้มีการทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง

ส่วนเป้าหมายข้อแรก ก็มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่ง สสส. ได้ให้ความสำคัญมาโดยต่อเนื่อง ดังอาคารสำนักงานของ สสส. ก็ตั้งชื่อว่าสำนักงานอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สุขภาวะเป็นหลัก ข้อสำคัญ สสส. ได้สร้าง “นวัตกรรมสังคม” ขึ้นมาแล้วจำนวนมาก จะต้องส่งเสริมและพัฒนาในเรื่องนี้  ยิ่งๆ ขึ้นไป

*********************