ปรับเปลี่ยนเพียงยุทธวิธี
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
*****************************
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านไป ส่งผลสะเทือนอย่างมากต่อกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ทั้งในสภาและนอกสภา บรรดาม็อบต่าง ๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย และคนที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง มีการปรับเปลี่ยนยุทธวีธีกันใหม่เพื่อเลี่ยงกับการถูกจับติดคุก ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้เคลื่อนไหวและแนวร่วม ในขณะที่สร้างความขบขันให้กับ “สลิ่ม” ทั้งหลาย
ม็อบภายใต้ชื่อ “ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม " ประกาศ “แถลงการณ์ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” โดยอ้างว่า ประเทศไทยในสมัย รัชกาลที่ 10 แตกต่างจาก สมัยรัชกาล9 เพราะกำลังเดินถอยหลังกลับสู่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอ้างต่อไปว่า การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ทางออก การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือการยกเลิกมาตรา 112 ไม่ใช่เพื่อการปฏิรูป หรือเพื่อการล้มล้าง แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประชาชนทั่วไปไม่ได้แปลกใจกับ “วาทกรรม” แปลกใหม่ที่ออกมา ไม่ว่าจะเขียนเอง หรือมีใครเขียนแล้วเอามายัดใส่มือให้ เพราะคนกลุ่มหนึ่งกำลัง “ดิ้น” เพื่อไม่ให้เจอคดีเพิ่มเติมเพราะที่มีอยู่ขณะนี้ก็หนักหนาสาหัสมากอยู่แล้ว
การดิ้นครั้งนี้ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงที่จะนำตัวเองและพวกติดคุกเพิ่มขึ้น เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้ตำรวจจัดการกับผู้กระทำผิดกฎหมาย เนื่องจากคดีที่มีอยู่ก็ติดคุกกันหัวโตแล้ว ส่วนที่หวังจะให้ต่างชาติกดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อย หรือให้พาหนีไปลี้ภัยในอเมริกา ยุโรป แทบมองไม่เห็นทาง เพราะสถานทูตอเมริกันและยุโรปคงไม่ลงทุนถึงขนาดนั้น เนื่องจากเพิ่งเสียหน้ามาจากฮ่องกงจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน
ยื่นหนังสือที่สถานทูตต่างชาติ ๆ เขาก็รับหนังสือไว้อย่างนั้นเอง เพราะในประเทศของเขาเองไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี ก็มีปัญหาภายในประเทศที่ต้องแก้ไขอยู่แล้ว จะมาแส่ในเรื่องนอกประเทศก็ใช่ที่ ยิ่งเวลานี้ต้องเอาใจรัฐบาลไทยไม่ให้เอนเอียงไปทางจีน
จะหวังพึ่ง “ องค์การนิรโทษกรรมสากล “ ก็ไม่รู้จะพึ่งได้ขนาดไหน เพราะเวลานี้ องค์กรนี้กำลังถูกคนไทยตะโกนขับไล่ออกจากประเทศแทบจะทุกวัน
คนวางแผนต้องดิ้นเพื่อเอาตัวรอด แต่จะดิ้นทั้งทีก็ต้องทำให้ดูดีหน่อย
กลุ่มแนวร่วมฯ ข้างต้นเพียงถูกใช้เป็น “ช่องทาง” ประกาศปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ เหมือนกับที่มีคนเอากระดาษมายัดใส่มือให้อ่านเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต จนแกนนำนักศึกษาผู้ประกาศถูกฟ้องไปตามๆ กัน ในขณะที่ “ไอ้โม่ง” ล่องหนตามเคย
คราวนี้ “ไอ้โม่ง” เอาใหม่ รีบเขียนยุทธวิธีใหม่ยัดใส่มือแกนนำม็อบ สำนวนแบบนี้ ความคิด ความเชื่อแบบนี้ จินตนาการแบบนี้ มีไม่กี่คนในเมืองไทยที่เขียนได้
ความเชื่อที่ยัง “ติดหล่ม” อยู่กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในไทยก่อนปี 2475 ในขณะที่ปีนี้ 2564 กำลังจะขึ้นปี 2565 แต่คนเขียนวันนี้ยังงมงายอยูกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 90 ปีที่แล้วโดยทึกทักว่า เมืองไทยกำลังเดินถอยหลังกลับไปสู่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก ซ้ำร้ายยังเสนอวิธีแก้ไขตามแบบการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่เกิดขั้นเมื่อ ค.ศ.1789 (พ.ศ.2332) หรือ 232 ปีมาแล้ว เรื่องนี้คนเขียนแถลงการณ์ควรไปถามคนไทยโดยทั่วไปดูว่า ประเทศไทยวันนี้กำลังย้อนกลับเป็นไประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก จริงหรือ เพราะที่เห็นกลายเป็นว่า เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยมากจนชักจะเลอะไปด้วยซ้ำ
“จินตนาการ” กับ “ของจริง” แตกต่างกันลิบลับ
คนกลุ่มนี้เคยพลาดมาแล้วที่เคยจาบจ้วง พาดพิงในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทยที่เกือบทุกคนมีชีวิตอยู่ในสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 คนไทยได้รู้ได้เห็น และสามารถตอบโต้ข้อกล่าวหาหรือพาดพิงโดยกลุ่มล้มเจ้าพวกนี้ได้ พวกนี้จึงไม่กล้าแตะในหลวงรัชกาลที่ 9 อีก
คนพวกนี้ฉวยโอกาสช่วงเปลี่ยนรัชกาลเคลื่อนไหวเพื่อ “ล้มเจ้า” ซึ่งฝังลึกอยู่ในหัวพวกเขา หนึ่งในยุทธศาสตร์ล่าสุด คือ การกล่าวหาว่าประเทศภายใต้รัชกาลปัจจุบันกำลังเดินถอยหลังกลับสู่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ดี คนไทยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่เชื่อและเห็นตามคำกล่าวหาของกลุ่มล้มเจ้าพวกนี้ นักกิจกรรมอื่น ๆ ก็ยังสนุกสนานอยู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม ประชาธิปไตย ฯลฯ อีกทั้งไม่มี่ความรู้สึกเลยว่า ประเทศกำลังจะถอยหลังกลับสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากจะมีคนเชื่อก็คงเป็นคนเขียนแถลงการณ์นี้และพวกเท่านั้น
แถลงการณ์อ้างว่า “การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ทางออก และไม่ใช่ปฏิรูป” แล้วที่ผ่านมาปีกว่าที่ม็อบออกมาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป ก็เท่ากับเดินผิดทางทั้งหมด เพราะม็อบเหล่านี้ถูกใส่ความเชื่อว่า ที่ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะพล.อ.ประยุทธ์มาจากการรัฐประหารบ้าง เพราะรัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง เพื่อปฏิรูปประเทศบ้าง ฯลฯ ไม่เคยมีใครมาบอกว่า ที่ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กำลังกลับมา ดังที่แถลงการณ์ล่าสุดกล่าว
แล้วทำไมเพิ่งมาบอกว่า การเรียกร้องยกเลิกมาตรา 112 ไม่ใช่เพื่อการปฏิรูป หรือเพื่อการล้มล้าง แต่เพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วจะทำอย่างไรกับคนที่เคลื่อนไหวจนถูกจับติดคุกอาจถามกลับว่า เพราะที่ผ่านมาก็ได้รับคำสั่งสอนมาว่า ต้องเคลื่อนไหวเรียกร้องยกเลิกมาตรา 112 เพื่อ “ปฏิรูป” สถาบันกษัตริย์ “ บางทีก็ใช้คำว่า “ ปฏิรูปเพื่อปฏิวัติ” ( ซึ่งม็อบก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันหมายถึงอะไร )
ม็อบที่สี่แยกราชประสงค์ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าทำเนียบรัฐบาล ต้องหาโอกาสไปคุยกับคนเขียนแถลงการณ์นี้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ อยากขอความชัดเจน โดยเฉพาะถ้าม็อบได้รับบาดเจ็บ ถูกตำรวจจับ ติดคุก ใครจะรับผิดชอบ
คนเขียนแถลงการณ์นี้คิดเอง เขียนเอง เออเอง เชื่อเอง และหลอกให้คนอื่นทำ คนที่ทำถูกจับ ติดคุก แต่คนเขียนลอยนวลทุกที ถ้ายังมีคนเชื่ออีกก็ถือว่า เป็น “กรรมของสัตว์โลก”
ตั้งแต่นี้ไป ม็อบกลุ่มใดที่จะออกมาเคลื่อนไหวต้องคิดถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เตือนสติไว้ว่า หากจะใช้สิทธิเสรีภาพของตนไปทำลายสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ต้องคิดสองครั้งก่อนทำ
เพราะถ้าทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกตำรวจจับกุม ดำเนินคดี ส่งฟ้อง และศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมายทันที แล้วจะรู้ว่า ติดคุกจริงๆนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะบางคนที่มีคดีติดตัวหลายคดี อาจติดคุกตั้งแต่หนุ่มยันแก่ (จบ)