posttoday

หลากหลายแนวคิดและแนวทางเรื่องวัคซีนโควิด-19 (40)

09 พฤศจิกายน 2564

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

***********

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอีกคนหนึ่งคือพลเอกคอลิน เพาเวลล์ เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอไปครบ 2 โดสแล้ว แต่เสียชีวิตเพราะสูงอายุถึง 84 ปีแล้ว และมีโรคประจำตัวคือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว คือ มัลติเปิล มัยอีโอมา (Multiple myeloma) ที่ยารักษาจะกดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีโรคพาร์กินสัน (Parkinson disease) ระยะต้นด้วย เมื่อมีโรคโควิด-19 เป็นโรคแทรกซ้อน (Complication) จึงมีโอกาสสูงที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต การเสียชีวิตของพลเอกคอลิน เพาเวลล์จากโควิด-19 ทำให้คนที่ต่อต้านวัคซีนถือโอกาสออกมาโจมตีว่า วัคซีนนอกจากป้องกันการติดโรคไม่ได้แล้ว ยังป้องกันการเสียชีวิตไม่ได้ แม้จะเป็นวัคซีนที่คนโดยมาก โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมากเชื่อว่ามี “ประสิทธิศักย์” (Efficacy) สูงสุดในการป้องกันโรคนี้ โดยผลการวิจัยที่ประกาศ ครั้งแรก พบว่าประสิทธิ์ศักย์สูงถึง 94.5% โดยในอาสาสมัครกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ค่านี้ยังสูงถึง 94%

แท้จริงแล้ว วัคซีนยังมีคุณค่าและเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19 ทั้งในแง่ตัวบุคคล (Individual) และในแง่ของชุมชน (Community) แต่แน่นอนว่าไม่มีวัคซีนใดที่สามารถป้องกันโรคและการเสียชีวิตได้ 100% พลเอกคอลิน เพาเวลล์ เป็นหนึ่งในกลุ่ม 5.5% ที่วัคซีนป้องกันการเกิดโรคไม่ได้ และน่าจะเป็นผู้อยู่ในกลุ่มจำนวนน้อยมากๆ ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังเสียชีวิต เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะตัวที่เสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต คือ ภูมิคุ้มกันต่ำจากผลการรักษามะเร็ง และเป็นผู้สูงอายุ “วัยปลาย” คือ เกิน 80 ปี

พลเอกคอลิน เพาเวลล์ มีเกียรติประวัติน่าสนใจ เพราะเป็นคนผิวสีคนแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางทหารสูงสุดในสหรัฐ ซึ่งเคยมีปัญหาการเหยียดผิวรุนแรง ถึงขั้นทำสงครามกลางเมือง เข่นฆ่ากันยาวนานถึง 4 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปนับแสน พิการนับแสน และทรัพย์สินที่สั่งสมมายาวนานกว่าร้อยปีนับจากการประกาศอิสรภาพ ถูกทำลายไปครึ่งค่อนประเทศ

พลเอกคอลิน เพาเวลล์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2480 ที่ย่านฮาร์เล็ม ซึ่งเป็นย่านของคนยากจนใน นครนิวยอร์ค พ่อแม่สืบเชื้อสายมาจากแอฟริกาและสกอตแลนด์ อพยพมาจากจาไมกา พ่อเป็นเสมียนที่ท่าเรือ แม่เป็นช่างเย็บผ้า คอลินเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมเมื่อ พ.ศ. 2497 จากโรงเรียนมัธยมมอร์ริส ในย่านบรองซ์ตอนใต้ (South Bronx) ระหว่างเรียนหนังสือ คอลินทำงานเป็นลูกจ้างในร้านเฟอร์นิเจอร์เด็กที่มีชาวยิวจากยุโรปตะวันออกเป็นเจ้าของ ทำให้เขารู้ภาษายิดดิช (Yiddish) ของยิวจากเจ้าของร้านและลูกค้าที่เป็นชาวยิวในละแวกนั้น จนมีครั้งหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวที่เป็นชาวยิวประหลาดใจ ที่เขาพูดภาษายิดดิชด้วย

นอกจากเป็นลูกจ้างในร้านเฟอร์นิเจอร์เด็กแล้ว คอลิน ยังเป็นเด็กผู้ช่วยทำพิธีในโบสถ์ออร์โธดอกซ์ด้วย

คอลิน เรียนจบวิชาภูมิศาสตร์จากวิทยาลัยของเทศบาลนครนิวยอร์ค เมื่อ พ.ศ. 2501 โดยอยู่ในกลุ่มได้คะแนนเฉลี่ยระดับซี ต่อมาได้เรียนจบปริญญาโททางบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน เมื่อ พ.ศ. 2504 และจบปริญญาเอกทางบริการสาธารณะ (Public Service) โดยได้เกียรตินิยม เมื่อ พ.ศ. 2533 คอลิน จึงเรียนมาทางด้านพลเรือนจนจบปริญญาเอก

คอลิน เริ่มมีประสบการณ์ในกองทัพ ตั้งแต่ครั้งเรียนระดับปริญญาตรี โดยเข้าทำงานในศูนย์ฝึกทหารกองหนุน (Reserve Officers’ Training Corps : ROTC) ซึ่งเขาชอบงานนี้ และรับราชการในกองทัพยาวนาน ถึง 35 ปี

ชีวิตในกองทัพของคอลิน มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยตลอด ช่วงเข้ารับการฝึกในมลรัฐจอร์เจียซึ่งเป็น มลรัฐทางใต้ เขาถูกปฏิเสธไม่ให้บริการในบาร์และภัตตาคารเพราะมีผิวสี

เมื่อเรียนจบ คอลิน ได้รับยศร้อยโทในกองทัพบก หลังเข้าการฝึกพื้นฐานที่ฟอร์ทเบนนิง คอลินถูกส่งตัวไปประจำการที่กองพลทหารราบที่ 48 ในเยอรมนีตะวันตก ในหน่วยลาดตระเวน

เพาเวลล์ในยศร้อยเอกได้ไปเยือนเวียดนามในฐานะที่ปรึกษากองทัพบกเวียดนามใต้ ในช่วง พ.ศ. 2505-2506 ขณะลาดตระเวนในเขตยึดครองของเวียดกง เขาบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด แผลติดเชื้อ ทำให้ถูกส่งกลับก่อน เขากลับไปเวียดนามอีกครั้งในยศพันตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการของกองพลทหารราบที่ 23 ช่วงปฏิบัติการดังกล่าวเขาได้รับเหรียญกล้าหาญจากการช่วยชีวิตทหาร 23 นายจากเฮลิคอปเตอร์ตก หนึ่งในนั้นคือพลตรีชาร์ลส์ เอ็ม เกตตีส์ ผู้บัญชาการกองพล

เมื่อเกิดกรณีสังหารหมู่ที่ไมลาย เพาเวลล์ร่วมอยู่ในหน่วยที่รับผิดชอบหมู่บ้านแห่งนั้นด้วย เพาเวลล์ ให้สัมภาษณ์ แลร์รี่ คิง ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นในภายหลัง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 ว่า “ผมไปถึงนั่นหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ในสงคราม เหตุสยองเช่นนี้เกิดขึ้นเสมอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก”

หลังกลับจากเวียดนาม เพาเวลล์ เข้าศึกษาต่อปริญญาโท และเข้ารับการฝึกอบรมในวิทยาลัยสงครามแห่งชาติ (National War College) ในวอชิงตัน ดี.ซี เมื่อ พ.ศ. 2519 และเข้าประจำการในฟอร์ท คาร์สัน ที่โคโลราโด หลังจากนั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอาวุโสของรัฐมนตรีกลาโหม คาสเปอร์ ไวน์เบอร์เกอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบุกเกรนาดา เมื่อ พ.ศ. 2526 และโจมตีลิเบียเมื่อ พ.ศ. 2529 รวมทั้งร่วมในปฏิบัติการ “อิหร่าน- คอนทรา” ที่ลักลอบขนอาวุธต่อต้านรถถังและขีปนาวุธ จากอิสราเอลไปอิหร่านอย่างผิดกฎหมาย กรณีดังกล่าวถูกเปิดโปงครั้งแรกในนิตยสารของเลบานอน และเป็นกรณีอื้อฉาวในสหรัฐ อดีตรัฐมนตรีไวน์เบอร์เกอร์ถูกฟ้องคดีอาญาร้ายแรงจากกรณีดังกล่าวถึง 5 คดี รวมทั้งคดีขัดขวางการดำเนินงานของรัฐสภาฐานซ่อนเร้นเอกสาร แต่เพาเวลล์ไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ

หลังกรณีดังกล่าว เพาเวลล์ วัย 49 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีเรแกน ช่วง พ.ศ. 2530-2532 โดยยังคงยศนายพลโทในกองทัพบก มีบทบาทในการเจรจาลดกำลังอาวุธหลายครั้งกับประธานาธิบดีกอร์บาชอฟของสหภาพโซเวียต

เพาเวลล์ เริ่มมีบทบาทสำคัญระดับชาติและนานาชาติแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นคนผิวดำ

**************