posttoday

บ้านเกิดเมืองนอน

21 ตุลาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

****************

การล้างสมองคนต้องใช้เวลาเป็นรุ่นอายุคน หรือเป็น “ เจเนอเรชั่น “ ดังปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ ที่คนรุ่นใหม่แทบไม่รู้จักประวัติศาสตร์ ไม่รู้จักสิ่งที่พระมหากษัตริย์ได้หาแผ่นดินและปกป้องแผ่นดินนี้ให้กับลูกหลาน ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเป็นการวางแผนที่ซับซ้อน อดทน รอคอย แล้วผลก็เกิดขึ้นในวันนี้

ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ที่กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทย ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากประชาชนทั่วไป แต่กระทรวงศึกษาธิการอ้างว่า วิชานี้ไม่ได้หายไปไหน และถูกจัดไปอยู่ในสาระวิชารวมกันอยู่ในวิชาสังคมศึกษา

จำได้ว่า เวลานั้นมีเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวาง โดยยืนยันให้วิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ยังเป็นวิชาหลัก แต่กระทรวงศึกษาธิการขณะนั้นนอกจากไม่ใส่ใจต่อความห่วงใยและข้อเรียกร้องของประชาชนทั่วไปแล้ว ยังไม่ใส่ใจต่อพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในขณะนั้น หรือพระพันปีหลวงฯ ในปัจจุบัน ทีแสดงความห่วงใยต่อการที่รัฐบาลขณะนั้นลดความสำคัญของการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม

ไปหาดูกันเองว่า ขณะนั้น ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ จากพรรคอะไร ซมซานออกจากป่าหรือไม่อย่างไร เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เพียงใด

ปรากฎการณ์ที่เกิดตามมา พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนบ่นว่า แปลกใจที่เรื่องสำคัญ ๆ ในประวัติศาสตร์ที่เด็กควรรู้ แต่เด็กกลับไม่ทราบ แต่เด็กไม่รู้จริง ๆ จนพ่อแม่ต้องเล่าให้ฟัง เด็กเหล่านั้นปัจจุบันอายุไม่น้อยกว่า 30 ปีแล้ว และมีฐานะการงานมั่นคง

เขาใช้เวลา 20 ปีในการเปลี่ยนความคิดและสร้างคนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ วางรากฐานในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่รูปแบบที่ต้องการ

20 ปีผ่านไป คนที่วางแผน ประสบความสำเร็จในการทำให้เด็กไทยไม่รู้จักที่มา ที่ไปของตนเอง คนเราเมื่อไม่รู้ที่มา ก็ไม่รู้ที่ไป เมื่อไม่รู้จักวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ความถ่อยเถื่อนจะขึ้นมาแทนความเป็นไทย

คนกลุ่มนั้นใช้เวลา 20 ปีในการทำลายล้างความเชื่อ ความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ไทย ต่อความเป็นมา ความเป็นชาติ ความเป็นเอกราช ความอยู่รอดที่กษัตริย์ไทยได้รักษาชาติบ้านเมืองให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสงบสุขมาจนปัจจุบัน

วันนี้ วิธีการได้ปรับเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ไปได้เร็ว กว้างไกล ทันอกทันใจ และการเสพข่าวอย่างไร้สติของคนรุ่นใหม่ วันนี้ ไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ระหว่างสังคมนิยมกับประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นการต่อสู้ว่าจะเอาประชาธิปไตยรูปแบบไหน

ระหว่าง ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์

การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ตามที่อ้างเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการ “ปฏิวัติ” ล้มล้างสถาบันกษัตริย์

การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ถูกนำมาใช้เป็นต้นแบบของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยมุ่งที่จะเปลี่ยน “ความคิด” ของคนรุ่นใหม่ให้เป็นพลังของการเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนแปลงความคิดตั้งแต่จุดประกายในกลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ที่ดูทำท่าจะไปได้ดีในยกแรก แต่มีโควิด 19 เป็นอุปสรรคสำคัญ เวลานี้ มีนิสิตนักศึกษา “รู้ทัน” มากขึ้น จึงมีความพยายามแทรกซึมเปลี่ยนแนวคิดตั้งแต่นักเรียนระดับมัธยม และลงมาถึงระดับเด็กเล็ก มีการผลิตหนังสือ “ชี้นำ” กันตั้งแต่เด็กเล็ก

แต่ดูเหมือนว่า แกนนำการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ใจร้อน ไม่อดทนรอนานเหมือนรุ่นก่อน เพราะต้องการผลสำเร็จในรุ่นของตน เพื่อให้ตนมีชื่อบันทึกไว้ในวิชาประวัติศาสตร์สำหรับสอนเด็กไทยในรุ่นต่อๆ ไป

สถานการณ์ขณะนี้มีส่วนคล้ายกับสถานการณ์ก่อน 6 ตุลา 19 แต่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบสังคมนิยม ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่าง “ขวา” กับ “ซ้าย” แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยที่มีสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยที่ปฏิเสธบทบาทของสถาบันกษัตริย์

ไม่ใช่การเผชิญหน้าระหว่างขวากับซ้าย แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มปกป้องสถาบันกษัตริย์กับกลุ่มปฏิเสธสถาบันกษัตริย์

ไม่มีลูกเสือชาวบ้าน ไม่มีนวพล ไม่มีอาชีวะพิทักษ์สถาบัน ไม่มีสถานีวิทยุยานเกราะ ไม่มีเพลงหนักแผ่นดิน ไม่มีหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ไม่มีพรรคขวา ไม่มีพรรคซ้าย มีแต่คนไทยปกป้องสถาบันกษัตริย์ กับ คนไทยไม่เอาสถาบันกษัตริย์ ที่ใช้การปฏิวัติฝรั่งเศส ปี 1789 เป็นต้นแบบ

ปีนี้ ค.ศ.2021 แต่คนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงและชื่นชมการปฏิวัติฝรั่งเศส ปี 1789 หรือ 232 ปีผ่านมาแล้ว ซึ่งสภาพแวดล้อมและความคิดของคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แล้วเรียกตนเองว่าเป็นพวกก้าวหน้านั้น มีคนถามว่ามันก้าวหน้าตรงไหน

ขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ที่สั่งการให้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีวัฒนธรรมประสานกับ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีศึกษาธิการ ฟื้นฟูและปรับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ชาติเพื่อให้เด็กไทยได้รับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติไทย “ ในแต่ละช่วงวัยให้เหมาะสม “ รวมทั้งการเรียนการสอนเรื่องศิลปวัฒนธรรม ศาสนา คุณธรรม จริยธรรม จัดทำชุดองค์ความรู้เกี่ยวกับงานประเพณีวัฒนธรรมและมรดกของชาติ ข้อปฏิบัติ และบริบทของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย ผ่านสื่อโซเชียล เป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของคนในครอบครัว ชุมชน สังคม และคนในประเทศ

หวังว่าคงไม่ใช้เวลานานเกินไป ที่สำคัญ รัฐมนตรีทั้งสองต้อง “ติดตาม” ความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ถ้าใครขัดนโยบายนี้หรือทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ย้ายให้หมด

เพิ่งมีรัฐบาลนี้ที่สนใจอย่างจริงจังให้เด็กไทยได้มีโอกาสกลับไปเรียนรู้ที่มา ที่ไปของตนเอง ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณีไทย ทำให้เด็กไทยโตขั้นมาเป็นคนไทยอย่างภาคภูมิใจ

เป็นโอกาสทองสำหรับคุณอิทธิพล คุณปลื้ม และ น.ส.ตรีนุข เทียนทอง รัฐมนตรีหนุ่ม-สาวที่จะฝากฝีมือไว้ให้คนไทยรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปได้คิดถึง ขณะเดียวกัน มึคนฝากบอกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กำชับให้ “ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย “ ดูแลอย่าให้ใครมาชักธงชาติไทยลงและชักธงแดงขึ้นแทน ผู้บริหารมีหลักประกันอะไรหรือไม่ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เพลง “ บ้านเกิดเมืองนอน 2564 “ เวอร์ชั่นใหม่ ทำให้คนไทยเจน เอ็กซ์-วาย-แซ่ด ได้รู้ว่า เมืองไทยเราก็มีเพลงเพราะๆ แบบนี้เหมือนกัน ขณะที่คนรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ คึกคักขึ้น

ช่วยหามกูไปสู้กันมันที

***************